ภูสอยดาว อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว ดอกหงอนนาค น้ำตกภูสอยดาว น้ำตกสายทิพย์ น้ำตกหลุมพบ จ.อุตรดิตถ์ ทะเลหมอก ทุ่งดอกไม้ ท่องเที่ยว ในประเทศ ฤดูฝน
ReadyPlanet.com
dot dot
คิดถึง...ภูสอยดาว article

เรื่องและภาพ โดย สาริศา

 

คิดถึงภูสอยดาว

ทุ่งหมอก ดอกไม้ สายฝน กับคนแรมทาง

สู่ ภูสอยดาว 6 – 8 ตุลาคม 2549

 

ปีนี้หน้าฝนมาเร็วกว่าปกตินะ แต่พี่ป้าน้าอาหลายคนจะบอกว่า มันเป็นปกติเมื่อประมาณ 30 – 40 ปีก่อนต่างหาก อย่างที่มีเพลงเค้าร้องว่า ย่างเข้าเดือน 6 ฝนก็ตกพรำๆ เดือน 6 ไทย ก็เท่ากับเดือนพฤษภาคมนี่แหละ แต่ปีนี้ฝนตกตั้งแต่ยังไม่สิ้นเดือนเมษายนเลย ก็แปลว่าฝนมาเร็วจริงๆ นั่นแหละ

ความชุ่มฉ่ำของสายฝนที่ตกไม่เว้นแต่ละวัน ทำให้คิดถึงบรรยากาศครั้งที่ได้ขึ้นไปเยือนภูสอยดาวขึ้นมา คิดถึงบรรยากาศฝนพรำๆ อากาศเย็นๆ ดอกไม้งามๆ ที่ชูช่อรับสายฝน คิดถึงความเหนื่อยล้าในการเดินทาง และความยากลำบากของเส้นทางที่พาตัวเองและเพื่อนผองน้องพี่ขึ้นไปถึงยอดภู และคิดถึงจุดเริ่มต้นของมิตรภาพดีๆ ที่งอกงามขึ้นบนภูแห่งนี้ มิตรภาพที่ยังคงเบ่งบานและผลิดอกออกผลเรื่อยมา และนี่คือจุดเริ่มต้นของแก๊งค์ใจง่าย(เวลาใครชวนเที่ยว) และเส้นทางใหม่ของคนสองคน บนถนน วันแรมทาง

ไม่รู้ว่าทำไมถึงอยากไปภูสอยดาวเหลือเกิน ทั้งที่วางโปรแกรมจะพาแม่ไปเที่ยวเชียงใหม่ช่วงปลายเดือนนี้ไว้เรียบร้อยแล้ว จำได้แต่ว่ามีเพื่อนหลายคนอยากไป เพราะว่าเราไปภูกระดึงกันมาแล้ว และขั้นกว่าของภูกระดึง ก็ควรจะเป็นภูสอยดาว เจาะจงว่าต้องเป็นหน้าฝนด้วยนะ เพราะอยากขึ้นไปดูทุ่งดอกไม้ คือดอกหงอนนาค นางเอกของภูสอยดาวในช่วงหน้าฝน และด้วยความที่มีหลายคนอยากไป ก็เลยเกิดอาการรอกันไปรอกันมา จากที่จะไปเดือนกันยาฯ ก็เลื่อนมาเป็นตุลาฯ แต่สมาชิกก็ยังไม่ลงตัวอีก สุดท้ายเลยตัดสินใจว่าไม่รอแล้วนะ ขึ้นภูช้ากว่านี้ อดเห็นดอกหงอนนาคแน่ๆ สรุปว่าท้ายสุดเลยเหลือสมาชิกอยู่ 4 คน เรา เพื่อนอีก 1 และน้องอีก 2 จองทริปไปกับ Trekkingthai.com (TKT)

เราออกเดินทางจากกรุงเทพฯ คืนวันที่ 5 ตุลาฯ อุตส่าห์นัดสมาชิกดิบดีว่าเจอกันสักทุ่มครึ่ง เอาของไปเก็บที่สำนักงาน TKT แล้วออกไปหาข้าวกินก่อนขึ้นรถตอนสองทุ่มครึ่ง แต่ดันเจอมหกรรมรถติดเย็นวันศุกร์ เราเลยไปถึงเป็นคนสุดท้ายของกลุ่ม ประมาณเกือบสองทุ่งแล้ว ขึ้นไปถึงสำนักงานฯ มีเพื่อนร่วมอุดมการณ์ในทริปนี้หลายคนนั่งล้อมวงคุยกันอยู่ สมาชิกกลุ่มเราอยู่ในสุดเลย ประมาณว่ามานานแล้ว และได้ทำการผูกสัมพันธ์เบื้องต้นเรียบร้อย รวมทั้งเพื่อนกับน้องชายเราที่ยังไม่เคยเจอกันมาก่อน เห็นบอกว่านั่งเล็งกันอยู่นานกว่าจะแน่ใจว่าใช่แก๊งค์ด้วยกัน ตอนนี้หลายคนยังเป็นแค่คนแปลกหน้า มองกันไปมองกันมา แต่ยังไม่ได้พูดคุยอะไรกันนัก คนเดียวที่พูดมากที่สุดคงเป็นนายเต่า เพื่อนเราเอง

ทริปนี้มีสมาชิก 2 คันรถตู้ ทั้งหมด 17 ชีวิต (16 คนจากกรุงเทพฯ และอีก 1 จากพิษณุโลก) รวม Staff  อีก 2 เป็น 19 คน พอได้เวลาออกเดินทาง จัดของขึ้นรถกันเรียบร้อย บรรดาคนมาสายเพราะรถติดเลยฝากท้องกับอาหารนานาชนิดใน 7-eleven ก่อนขึ้นรถ ล้อหมุนออกจากกรุงเทพฯประมาณ 3 ทุ่ม หลับๆ ตื่นๆ แวะรับสมาชิกระหว่างทางเพิ่ม 1 คนที่พิษณุโลกตอนกลางดึก แล้วก็ตีรถยาวไปถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูสอยดาวตอนเช้าตรู่ของวันที่ 6 ตุลา

 

วันแรกของการเดินเท้าสู่ยอดภูสอยดาว 6 ตุลาคม

จัดการกับภารกิจส่วนตัวกันเรียบร้อย แยกเสื้อผ้าและอุปกรณ์ต่างๆ ที่จะเอาติดตัวไปใช้บนภู กับที่จะลงมาใช้อาบน้ำแต่งตัวตอนขากลับไว้ที่รถ แล้วก็ไปกินข้าวเติมพลังกันก่อนจะเริ่มเดินเท้าขึ้นภูสอยดาว

เช้าวันนี้อากาศมัวๆ แสงสลัวๆ ตามปกติของฤดูฝน ซึ่งแปลว่าเราอาจเจอฝนได้ตลอดเวลาระหว่างทางที่เดินขึ้นภู ทุกคนได้เสื้อกันฝนคนละตัวให้พกไว้ใช้ตอนจำเป็น พร้อมกับข้าวกลางวันคนละ 1 ห่อ ที่จะต้องดูแลรับผิดชอบกันเอาเองไว้เติมพลังมื้อกลางวันระหว่างทาง ที่ขาดไม่ได้คือน้ำ ต้องพกติดตัวไว้คนละหนึ่งขวด ถ้าหมดก็มีให้เติมระหว่างทางได้เล็กน้อย จากพี่แมว Staff ผู้นำทีมของเรา

 



ก่อนจะออกแรงเดิน พวกเราก็จัดการเก็บภาพสมาชิกทั้งหมดในทริปซะหน่อย กับมุมยอดฮิต ป้าย น้ำตกภูสอยดาว กับ 17 ชีวิตในทริปนี้ หน้าชื่นตาบานพร้อมสำหรับการออกเดินทางกันเต็มที่ (สภาพหลังจากนี้อีกหลายชั่วโมงต่อมา เรียกว่าเกือบหมดสภาพ) หลังจากนี้เราจะเข้าสู่เส้นทางสู่ลานสนสามใบภูสอยดาวกันแล้ว โดยมีพี่แมว นำหน้าและพี่โอ๊ต Staff  อีกคนปิดท้ายขบวน

ช่วงแรกของการเดินเป็นเส้นทางเลียบน้ำตกภูสอยดาวขึ้นไปเรื่อยๆ ยังไม่สูงชันมาก เป็นการวอร์มร่างกายในช่วงปรับสภาพ เนินแรกนี้คือเนินส่งญาติ หลังจากนั้นก็จะเริ่มสูงชันและเหนื่อยเมื่อย ท้อเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กับเนินปราบเซียน เนินป่าก่อ เนินเสือโครง และสุดท้ายที่ท้าทายและเหนื่อยหนักที่สุด คือเนินมรณะ รวมระยะทางทั้งหมดประมาณ 6.5 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 4 – 6 ชั่วโมง

ก่อนจะพ้นเนินส่งญาติ พี่แมวก็เตรียมหาอุปกรณ์เสริมให้พวกเรา เป็นไม้เท้าที่ตัดจากกิ่งไม้กิ่งไผ่ที่ล้มๆ อยู่ข้างทาง พร้อมกับบอกว่า ตอนนี้อาจคิดว่ามันไม่จำเป็น แต่เดินไปเรื่อยๆ มันจะมีประโยชน์มาก ถึงจะไม่มั่นใจเท่าไหร่ว่าเส้นทางข้างหน้าเราจะไหวมั้ย จะลำบากแค่ไหน แต่เราก็ไม่ได้ขอตัวช่วย เพราะไม่ถนัด มันเกะกะและไม่สะดวกในการถ่ายรูประหว่างทาง (แบบว่ายังไงก็ยังห่วงถ่ายรูปมากกว่า) และเราก็ถึงที่หมายได้อย่างปลอดภัยโดยไม่ต้องเผื่อไม้เท้าจริงๆ นะ

ประมาณ 9 โมงครึ่งจากจุดออกตัวน้ำตกภูสอยดาว เรามาถึงแถวเนินป่าก่อ ประมาณเที่ยงได้ ก็เลยแวะเติมพลังกันเสียเลย จะได้กำจัดภาระที่แบกมาเอาไปเก็บไว้ในท้องแทน คนอื่นๆ ยังไม่มีอาการอะไรน่าห่วง แต่สมาชิกคนหนึ่งในทีมมีอาการตะคริวกินขาตั้งแต่เนินปราบเซียนแล้ว ที่แย่กว่านั้นคืออาการมันมาเรื่อยๆ เป็นระยะๆ ตลอดทาง แต่ด้วยใจสู้และกำลังใจจากเพื่อนฝูง พี่แกก็พาตัวเองขึ้นไปจนถึงลานสนภูสอยดาวอย่างปลอดภัย นับถือใจแกจริงๆ

แม้ว่าจะเป็นหน้าฝน แต่ป่าที่นี่ไม่มีทากมาเป็นอุปสรรคในการเดินทางมากนัก ตลอดทั้งทริป 3 วันกับ 17 ชีวิต มีทากให้เจอแค่ 3 ตัวเอง แต่ที่โดนกัดจริงๆ มีแค่คนเดียวแหละ นอกนั้นแค่ได้เห็นเฉยๆ สรุปว่าทริปนี้เสียเลือดแค่เล็กน้อย แถมไม่ใช่เลือดเราด้วย สบายใจได้

ตลอดระยะทางกว่า 6 กิโล มีพี่น้อง 2 สาวคู่หนึ่งที่ส่งเสียงเจื้อยแจ้วร้องเพลงไปตลอดทาง (แต่โดนแซวว่าร้องไม่จบสักเพลงนะ) ทำให้บรรยากาศการเดินป่าในทริปนี้สนุกสนานเฮฮาด้วยเสียงเพลง เสียงแซวกัน เสียงหัวเราะ ปนกับเสียงหอบเป็นระยะๆ และทำให้เราได้พูดคุยกันมากขึ้น สำหรับคนที่เพิ่งรู้จักกันในวันแรก ก็นับว่าโอเคนะ

จุดพักทำใจจุดสุดท้ายที่ปลายเนินเสือโครง กับความสูงชันของเนินมรณะที่มองเห็นไกลออกไปข้างหน้า ทำเอาหมดแรงตั้งแต่ยังไม่ได้ปีน สูงและชันได้ใจจริงๆ ประมาณว่า 70 – 80 องศา และต้องไต่ระดับตลอดเวลาโดยไม่มีที่ราบให้พัก เป็นระยะสุดท้ายที่หฤโหดจริงๆ ผ่าน 1.1 กิโลของเนินมรณะ เราก็จะขึ้นไปถึงลานสนภูสอยดาวกันแล้ว สู้ๆ

ในที่สุดเราก็ทำสำเร็จ ผู้พิชิตลานสนสามใบภูสอยดาว ความเหนื่อยเริ่มหายไป ความตื่นเต้นดีใจที่ได้มาถึง และบรรยากาศดีๆ อากาศเย็นๆ บนยอดภูเริ่มเข้ามาแทนที่ บันทึกภาพแห่งความสำเร็จกันด้วยสภาพที่โรยแรง แต่ยังยิ้มได้กันทุกคนนะ โชคดีแค่ไหนที่การเดินทางของพวกเราจนถึงลานสนไม่เจอฝนระหว่างทางเลย แล้วหมู่สนสามใบก็ต้อนรับเราเข้าสู่อ้อมกอดของภูสอยดาว

 



เดินมาถึงลานกางเต็นท์ ซึ่งมีเต็นท์สำหรับพวกเรากางรออยู่แล้ว เก็บของเรียบร้อย พักกันให้หายเหนื่อย แล้วเราก็ออกสำรวจพื้นที่รอบๆ ที่พักกัน จากลานกางเต็นท์ห่างออกไปแค่ไม่กี่ร้อยเมตรเป็นจุดชมวิวและชมพระอาทิตย์ตก เราเดินไปดูวิวกันแต่ยังไม่ได้ขึ้นไปบนจุดสูงสุดของลานสน เพราะฝนเตรียมพร้อมจะโปรยตลอดเวลา อากาศเย็นและเริ่มมืดลงทุกที ก็เลยเดินกลับมาอาบน้ำและเตรียมตัวกินอาหารเย็น

            เราควรรีบอาบน้ำก่อนจะมืด เพราะอากาศจะเย็นลง และน้ำในลำธารจะเย็นมาก ยิ่งถ้ารอจนมืดจะยิ่งแย่ เพราะไม่มีไฟฟ้า และจากจุดกางเต้นท์เดินไปห้องน้ำก็ห่างกันพอสมควร ทางมืดและแฉะ แถมยังต้องตักน้ำจากลำธารเข้าไปใช้ในห้องน้ำเองอีก จะยิ่งลำบากใหญ่ ก็อาบกันพอสบายๆ ตัวแล้วกันนะ ไว้ค่อยลงไปขัดสีฉวีวรรณกันก่อนกลับบ้านทีเดียวเลย

ได้เวลาอาหารมื้อแรกบนยอดภู ด้วยฝีมือ Staff ของ TKT ก็เป็นอาหารธรรมดาๆ ทั่วไป มีไข่เจียวเป็นหลักทุกมื้อ นอกนั้นก็ต้มๆ ทอดๆ ผัดๆ ตามวิถีคนเดินทาง แต่ที่พิเศษน่าจะเป็นของหวานมากกว่า ใครจะคิดว่าเราจะได้กินแกงบวชฝักทองบนภูสอยดาว หลังมื้ออาหารคืนนี้ ไม่มีกิจกรรมอะไรมากมาย ไม่ได้ล้อมวงสนทนากันเท่าไหร่ เพราะความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง เราก็เลยเข้านอนกันแต่หัวค่ำ ยกเว้นคุณเพื่อนของเราที่ต้องจัดการกับแบน(แสงโสม) ที่พกมาด้วยเสียก่อน ถึงจะนอนหลับ มันก็เลยไปนั่งกินเหล้ากับทีม Staff ซะเลย

กลางดึกคืนนี้ฝนตกหนักมาก คงเป็นเพราะเมฆก้อนมหึมาที่ทำให้เราได้เห็นพระจันทร์เกือบเต็มดวงเมื่อช่วงหัวค่ำแค่แป๊ปเดียว หลังจากนั้นเมฆก็เข้ามาบังแสงจันทร์จนมิด และเราก็ไม่ได้เห็นพระจันทร์อีกเลย รวมถึงในคืนถัดไป ทั้งที่เป็นคืนพระจันทร์เต็มดวงและเป็นคืนไหว้พระจันทร์ของพี่น้องชาวจีน ยังโชคดีที่เต้นท์เราน้ำไม่ซึมเข้ามา เลยนอนต่อได้อย่างสบาย แต่มีบางเต้นท์ที่มีปัญหากับน้ำฝนบ้าง จะเที่ยวหน้าฝนก็ต้องทำใจ ต้องเตรียมตัวและเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมสำหรับรับสถานการณ์แบบนี้ด้วย

 

 

 

วันที่ 2 บนยอดภู 7 ตุลาคม

ฝนหยุดตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ ตื่นมาอีกทีตอนเช้าก็ได้เห็นแต่ร่องรอยที่ฝนทิ้งไว้ รวมทั้งสายหมอกที่ปกคลุมไปทั่ว ทำให้บรรยากาศโดยรอบขาวโพนและอากาศเย็นสบายมากๆ พอสายหน่อยก็ได้เห็นแสงพระอาทิตย์แหวกกลีบเมฆออกมาทักทายกัน

หลังมื้ออาหารเช้า โปรแกรมของพวกเราคือการเดินเท้าไปชมน้ำตกสายทิพย์ น้ำตกหลุมพบ และกลับมากินข้าวกลางวันที่เต้นท์ แล้วช่วงบ่ายเราจะไปต่อกันที่ฝั่งลาว ไปดูหลักเขตแดนไทย ลาว และข้ามไปเที่ยวในประเทศเพื่อนบ้านกัน

เส้นทางเดินไปชมน้ำตกค่อนข้างจะสูงชัน และต้องไต่เลาะริมผาเป็นบางช่วง ยิ่งฝนตก ทางลื่น ยิ่งต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ แต่สมาชิกทุกคนก็ผ่านมาได้ทั้งไปทั้งกลับแบบฉลุย ถึงจะสบักสบอมไปบ้าง ที่น่าแปลกใจคือเพิ่งมารู้ทีหลังว่ามีบางคนกลัวความสูง และเส้นทางในบางช่วงต้องปีนต้องไต่เลาะผาสูงด้วย แต่ก็ไม่มีใครแสดงอาการหวาดกลัวให้เห็น ใจเกินร้อยกันจริงๆ  

 

 

ผ่านเส้นทางหฤหันต์ของน้ำตกสายทิพย์และน้ำตกหลุมพบมาได้ ทุกคนก็โล่งใจไปตามๆ กัน แล้วเราก็เดินลัดเลาะลานสนกลับสู่ที่พักเพื่อไปเติมอาหารกลางวันแล้วนัดหมายเวลาที่จะออกไปเดินเที่ยวรอบบ่ายกัน จากนั้นแยกย้ายกันไปนอนพักผ่อนเรียกแรงคืนสักหน่อย แต่เอาเข้าจริงก็แทบไม่มีใครได้หลับนะ เพราะห่วงจะคุยจะเที่ยวเสียมากกว่า พอได้เวลาตามนัด พวกเราก็มารวมพลจัดกระบวนทัพกันอีกครั้ง แล้วก็ชักแถวออกเดินสู่หลักเขตแดนไทย ลาว เรียกว่าวันเดียวเที่ยวได้ 2 ประเทศเลย เที่ยวทุ่งดอกไม้อยู่ฝั่งไทยไม่ทันไรก้าวต่อไปอีก 2 ก้าวก็เข้าสู่เขตประเทศลาวกันแล้ว ทุ่งดอกหงอนนาคฝั่งไทยในช่วงต้นเดือนตุลาซึ่งถือว่าเป็นปลายฝนต้นหนาวบางตามากแล้ว แต่ในฝั่งลาวยังดูหนาตาอยู่ ค่อยได้สัมผัสกับทุ่งดอกหงอนนาคแบบเต็มๆ หน่อย แถมได้โทรศัพท์กลับไปรายงานตัวที่บ้านกันด้วย เพราะเป็นบริเวณเดียวที่มีสัญญาณโทรศัพท์

ถ่ายรูปกันสนุกไปเลย ถึงแสงจะไม่เป็นใจเท่าไหร่ เพราะเมฆฝนกำลังมา มีฝนตกปรอยๆ และสายหมอกก็เข้าปกคลุมทั่วพื้นที่ แล้วสุดท้ายพวกเราก็หนีฝนกันไม่พ้น เจอฝนหนักระหว่างทางจนได้ เสื้อกันฝนได้ใช้งานก็คราวนี้ แทบทุกคนเลยกลายเป็นมนุษย์พลาสติกสีเหลืองไปโดยปริยาย

เราได้ขึ้นไปถึงจุดชมวิวที่เค้าบอกว่าเป็นจุดที่จะได้เห็นวิวสวยที่สุดของภูสอยดาว แต่ไม่ได้เห็นวิวอะไรเลย เพราะขึ้นไปเจอฝนตกหนักข้างบนพอดี แต่ก็ได้ไปถึงแหละ และในความโชคร้ายก็ยังมีโชคดีตามมานะ เพราะพวกเราเดินกลับมาถึงจุดสูงสุดของลานสนตอนที่ฝนซา และพระอาทิตย์กำลังจะตก สายหมอกไหลมาเป็นระลอกเหมือนกับคลื่นในทะเลเลย ทำให้พวกเราได้เห็นทะเลหมอกที่สวยมาก มีช่างภาพอีกหลายคนที่มายืนรอเก็บภาพอยู่ที่จุดชมวิว เค้าบอกว่าขึ้นมาหลายทีแล้ว แต่ยังไม่ได้เห็นทะเลหมอกสวยๆ อย่างวันนี้เลย เห็นมั้ยว่าพวกเราโชคดีจริงๆ

 

 

สิ้นแสงสุดท้ายของพระอาทิตย์ ได้เวลาท้องร้องพอดี เรากลับถึงเต็นท์ เก็บอุปกรณ์และก็อาบน้ำกันอย่างรวดเร็วด้วยความลำบาก เพราะมันมืดแล้ว อากาศเย็น น้ำก็ยิ่งเย็น แถมทางเดินก็มืดและแฉะ แต่ก็เป็นรสชาติที่ชุ่มฉ่ำดีนะ พออาบน้ำสบายตัวกันแล้วก็ได้เวลาอาหารค่ำ และเช่นเคยอาหารคาวก็ต้ม ผัด แกง ทอดตามปกติ แต่ของหวานมื้อนี้เป็นมันต้มขิง หรือที่ผู้ใหญ่บางคนเรียกว่ามันต้มเจ๊ก หลังมื้ออาหารพวกเราพูดคุยกันได้พักหนึ่ง แล้วก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน เพราะเหนื่อยกันมาทั้งวัน แต่ข้างๆ วงข้าวของพวกเรา มีอีกวงหนึ่งซึ่งส่วนใหญ่เป็น Staff ของ TKT ที่เพิ่งเดินขึ้นภูมาวันนี้เอง พร้อมกับอุปกรณ์ทำหมูกะทะ เค้านัดกันมากินหมูกะทะบนภูสอยดาว!! แล้วพรุ่งนี้เค้าก็จะลงจากภูพร้อมๆ กับพวกเรา ช่างเป็นทีมงานบ้าพลังจริงๆ เลย และที่บ้าไม่น้อยไปกว่านั้นก็คงเป็นเพื่อนเราเนี่ยแหละ เพราะถึงจะเดินมาทั้งวัน ท่านก็ยังไม่สิ้นแรงและมีภาระกิจต้องจัดการกับอีกแบนที่พกมาสำหรับคืนที่ 2 มันก็เลยไปแจมกับแก๊งค์ทีมงานบ้าพลังเสียเลย ได้ข่าวว่าตอนดึกๆ ยังไปร่วมวงกับเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ด้วย สุดยอดจริงๆ เพื่อนเรา

 

วันที่ 3 อำลาภูสอยดาว 8 ตุลาคม

อรุณสวัสดิ์เช้าวันใหม่ ปวดๆ เมื่อยๆ ไปตามๆ กัน ไอ้ที่เดินกันมา 2 วันมันเพิ่งจะมาออกอาการเอาวันที่จะต้องเดินลงนี่เอง แต่ก่อนจะได้เวลาอำลาภูสอยดาว ก็ต้องเติมพลังด้วยอาหารเช้ากันให้เต็มท้องก่อน มื้อนี้อาหารดูหน้าตาดี รสชาติอร่อยกว่าปกติ เพราะมีแม่ครัวหน้าแฉล้มหลายคนช่วยกันโชว์ฝีมือ ก็ทีมงานบ้าพลังของ TKT ที่ตามขึ้นมาเมื่อวานนั่นแหละ แถมเป็นมื้อสุดท้ายบนภูสอยดาว วัตถุดิบที่เตรียมมาทั้งหมดก็เลยใส่เต็มที่ในมื้อนี้ จะได้ไม่ต้องเหลือให้แบกกลับลงไปอีก พวกเราก็เลยได้กินกันอย่างอิ่มหมีพีมันทิ้งทวนภูสอยดาว

จัดการอาหารเช้าเรียบร้อย เก็บสัมภาระเตรียมตัวออกเดินทางกันพร้อมสรรพ พวกเราก็โบกมือลาภูสอยดาวกันด้วยความรู้สึกดีๆ และมิตรภาพใหม่อีกหอบใหญ่ที่งอกงามขึ้นที่นี่ ก้าวเท้าลงจากภูกันตอนประมาณ 10 โมงเช้า แล้วเราจะไปกินข้าวกลางวันกันที่ตีนภูนะ ขาลงใช้เวลาน้อยกว่าขาขึ้นมาก ถึงระหว่างทางจะเจอฝนกันเป็นระยะ แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการเดินลงมากนัก แค่ชุ่มฉ่ำเย็นและแฉะกว่าปกติหน่อย แต่ก็ยังไม่วายเก็บภาพดอกไม้กันไปตลอดทาง นี่แหละเสน่ห์ของฤดูฝน แม้ว่าจะเฉอแฉะเปียกปอน แต่ก็คุ้มค่าในการมาเยือน ถ้าอยากจะได้ยลดอกไม้งาม

 

ดูเหมือนขาลงจะไม่มีปัญหาอะไร แต่คงไม่ใช่สำหรับบางคน เพราะ 1 ใน 17 คนของพวกเรา มีคนหนึ่งเกิดเป็นลมพิษขึ้นมาเต็มตัว ไม่รู้ว่าไปโดนอะไรเข้า ที่แย่ไปกว่านั้นคือหนึ่งคนนั้นเป็นคนเดียวกันกับที่เป็นตะคริวตอนขาขึ้นนั่นแหละ แกคงเข็ดภูสอยดาวไปอีกนาน หรือไม่ก็ต้องขึ้นไปซ่อมให้ได้

            ลงมาถึงที่ทำการอุทยานฯ พวกเราก็หมดแรงอาหารเช้าไปตามๆ กัน กับข้าวที่ทีมงานสั่งเตรียมไว้ให้พวกเรารอพร้อมอยู่แล้ว มาถึงก็จัดการกันซะเลย พอท้องอิ่มก็เตรียมตัวอาบน้ำแต่งองค์กลับบ้านกัน แต่ไหนๆ ก็มาเยือนน้ำตกภูสอยดาวกันแล้ว พวกเราก็ไม่พลาดที่จะลงเล่นน้ำตกกันซะหน่อย ถึงน้ำจะเย็นก็เถอะ พอทยอยขึ้นจากน้ำตกไปอาบน้ำแต่งตัวกันเรียบร้อย ก่อนกลับก็ขอหาของที่ระลึกกันเล็กน้อย ใช้เวลาช็อปปิ้งกันอยู่นานพอสมควร ได้เสื้อ โปสการ์ด พวกกุญแจ ที่คั่นหนังสือ และอื่นๆ ตามความประสงค์ของแต่ละคนเรียบร้อย ก็ได้เวลาอำลาภูสอยดาวจริงๆ ซะที แม้ว่าจุดสิ้นสุดการเดินทางของทริปนี้ จะทำให้ทุกคนหมดแรง และเมื่อยล้าไปอีกหลายวัน แต่ที่นี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของอะไรหลายๆ อย่าง ที่ยังคงงอกงามและดำเนินอยู่จนถึงวันนี้ และมันจะมั่นคงแข็งแรงต่อไป ตราบเท่าที่คำว่า มิตรภาพ ยังคงเติบโตและงดงาม

คิดถึงพี่น้องและผองเพื่อนทุกคนที่ได้รู้จักกันบนภูสอยดาว คิดถึงมิตรภาพดีๆ ที่ผุดขึ้นระหว่างเส้นทางของการออกเดินท่องโลกกว้าง คิดถึงธรรมชาติที่สวยงาม และบรรยากาศที่แสนประทับใจท่ามกลางสายหมอก ทุ่งดอกไม้ และสายฝนบนภูสอยดาว ขอบคุณทุกๆ อย่างที่ทำให้เราได้เดินทางมาเจอกันในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต ขอบคุณที่เราได้รู้จักกัน ได้สานสัมพันธ์ฉันท์มิตรต่อกัน และได้ร่วมเดินบนเส้นทางเดียวกัน จนถึงวันนี้ ทุกครั้งที่ได้เห็นสายฝนโปรยลงบนพื้นดิน และได้กลิ่นดินฉ่ำน้ำ สิ่งหนึ่งที่ผุดขึ้นในใจเสมอ คือ.... คิดถึง....ภูสอยดาว

 

 

 




บันทึกแรมทาง

ครั้งหนึ่ง ณ หุบเขาสปิติ
คำแนะนำเรื่อง อาการแพ้ความสูง (AMS)
พาไปนวดที่ Kelara article
Boarding Pass
สู่แดนพระพุทธองค์ article



ใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยว เลขที่ 11/06037
ติดต่อเรา
โปรแกรมการเดินทาง
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot










อุณหภูมิ พยากรณ์อากาศ
คำแนะนำเรื่อง อาการแพ้ความสูง Altitude Sickness อาการเวลาอยู่บนพื้นที่สูง Acute Mountain Sickness (AMS)


Copyright © 2007-2037 สงวนลิขสิทธิ์ภาพและบทความที่จัดทำขึ้นโดยเว็บไซต์ ห้ามลอกโดยเด็ดขาด
ติดต่อเรา
บริษัท อัพเดททัวร์แอนด์ทราเวล จำกัด
เลขที่ 1/60 ซอยอนามัยงามเจริญ 12 แขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน กรุงเทพ 10150
โทรศัพท์ : 024054561 , 0816928233 (dtac) , 0898119139 (ais)
Email : wanramtang@hotmail.com
Line ID: @wanramtang