กิจกรรมของที่นี่เลยกลายเป็นการถ่ายรูปกับตัวจามรี หรือ แย็ค นี่แหละ

เจ้าแย็คสองตัวนี้สวยนะ ตัวใหญ่ เขางาม (แต่ก็แหลมจนน่ากลัวเหมือนกัน) มันยืนนิ่งให้ลูกค้ามาถ่ายรูปกับมันอย่างเชื่องๆ (หรืออยากจะบอกว่าเบื่อก็ไม่รู้นะ)

ที่ต่อไปเป็นจุดชมวิวค่ะ (จำชื่อไม่ได้) แต่เราไม่ได้เห็นวิวอะไรเลย นอกจากสายหมอกอันหนาทึบ และนักท่องเที่ยวจำนวนหนึ่ง

รถมารับพวกเราตามจุดนัดพบ และพาเราไปแวะเที่ยวที่จุดแรกคือ Green Valley เป็นสถานที่ชมวิวหุบเขาสีเขียวขจี ซึ่งไม่ได้ดูตื่นเต้นอะไรนัก แค่มันเขียวตลอดทั้งปี ทั้งที่บริเวณอื่นๆ อาจจะแห้งแล้งเปลี่ยนสีไปบ้างในบางฤดู เลยได้ชื่อว่า Green Valley ก็เขียวสมชื่อจริงๆ นะ

เพิ่งรู้เหมือนกันนะว่าเดินลงมาด้านล่างนี้ก็มีของขาย แต่จะเป็นเหมือนตลาดพื้นเมือง ไม่ใช่ย่านนักท่องเที่ยว

แต่รถขึ้นมารับพวกเราบนมอลล์ไม่ได้ เราต้องเดินลงไปหารถเอง โดยมีผู้นำทางใช้เส้นทางนี้ เดินเลาะลงไปด้านล่าง ฝนตกไว้ทำให้ทางแฉะเดินยากหน่อย ที่สำคัญคือกลัวลื่น แต่ทุกคนโอเค ในใจคิดถึงตอนขากลับขึ้นมามากกว่า ถ้าต้องเดินไต่ระดับขึ้นมาในเส้นทางนี้มีลุ้นวัดพื้นกันเป็นแน่

วันที่ 3 วันพฤหัสบดีที่ 9 เมษายน 2552  :  ชิมลา (Shimla)
อรุณสวัสดิ์เช้าวันใหม่ที่ชุ่มฉ่ำ เช้านี้ฝนหยุดตกแล้ว อากาศเย็น แต่ฟ้ายังไม่เปิดนะ หลังจากจัดการอาหารเช้าแบบตัวใครตัวมันเรียบร้อย พวกเราตัดสินใจจะออกไปเที่ยวรอบๆ เมืองกัน เดินจากที่พักมาที่เอเย่นต์เจ้าหนึ่งในมอลล์ซึ่งสอบถามราคากันไว้เมื่อคืน ตกลงเรื่องสถานที่ที่จะพาไปเรียบร้อย สรุปราคาที่ 900 รูปี

สวัสดีพี่ๆ ทุกท่าน วันนี้คึกคักแต่เช้าเชียว

พี่หนิงจ๋า ตอนพี่หนิงไปชิมลามีเมนูไหนแนะนำบ้างคะ มาเล่าสู่กันฟังบ้างนะ ถ้าใครได้ไปจะได้ไม่พลาด

พี่ม่านมาช่า  จริงๆ เดือนเมษายังไม่ใช่หน้าฝนหลอกค่ะ แต่รู้สึกว่าช่วงที่ไปจะมีพายุเข้าน่ะ หน้าฝนจริงๆ จะเป็นช่วงเดือนมิถุนายนค่ะ

พี่โอ๊ต  ถ้าพี่ช่าไป พี่โอ๊ตจะไปด้วยกันใช่ป่ะ (และคงมีแนวร่วมเป็นพี่หนิงอีกหนึ่งคนแน่ๆ...อิอิ) จะตั้งตารอนะคะ

พี่ช่า good morning แสดงว่าช่าอยากไปมาก เพราะออกมาแสดงตัวถี่ขึ้น

ไปกันนะช่า แบบแนวทางของช่าเอง ฮิฮิ

เดือนเมษาเป็นฤดูฝนของเขาหรือแต่ก็ได้อีกบรรยากาศหนึ่งชอบจัง

               ช่าเองคะ

ถ้าน้องนุ้ยไม่บอกว่าเป็น ซุป  French onion พี่เดาว่าเป็นขนมหวานนะนี่...

อิ่มกันและ กลับไปนอนกันเถอะ ฝนลงเม็ดเล็กน้อย อากาศเย็นยะเยือกทีเดียว จริงๆ แล้วเวลาประมาณ 2 ทุ่มอย่างนี้ ถ้าฝนไม่ตกคงมีผู้คนออกมาเดินเที่ยวกันเยอะแยะ ลานซุปซิบคงไม่เงียบเหงาขนาดนี้

ระหว่างทางก็แวะสอบถามราคาค่ารถตามเอเย่นต์ต่างๆ เพื่อไปเที่ยวรอบๆ เมืองชิมลาสำหรับพรุ่งนี้กัน ราคาอยู่ที่ประมาณ 900 - 1,200 รูปี สำหรับรถหนึ่งคันกับจำนวนสมาชิก 5 คน แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจจองกับที่ไหน คงต้องรอดูสภาพอากาศพรุ่งนี้เช้าก่อน ถ้าฟ้าเปิด ฝนหยุดก็ไปเที่ยวกัน แต่ถ้าไม่ก็นอนเฝ้าโรงแรมกันเถอะพวกเรา

คืนนี้หลับฝันดีกับคืนแรกในชิมลา ราตรีสวัสดิ์ทุกคนค่ะ

อีกเมนูหนึ่งมีชื่อว่า Mix Grill Sizzler เป็นซิสเลอร์รวมมิตรค่ะ เมนูซิสเลอร์นี้ก็อร่อยดี มีให้เลือกทั้งไก่และหมู (บางที่อาจมีเนื้อด้วย อย่างที่ทิเบตแคมป์) เวลาอาหารมาเสิร์ฟจะได้ยินเสียงร้อนฉ่าแบบกระทะร้อนมาแต่ไกล พร้อมกับควันร้อนลอยตามมา เมนูนี้ใช้ได้แทบทุกร้านที่เราไปกินนะ ของร้านนี้มีไข่ดาวโปะหน้ามาด้วย อร่อยๆ แยกกันกินยิ่งอร่อย (แบบว่า 5 คนสั่งที่เดียวค่ะ เพราะแต่ละคนไม่อยากเน้นมื้อเย็นน่ะ ส่วนใหญ่จะกินซุปกัน แล้วก็สั่งเมนูหลักอีกสักอย่างสองอย่างพอ)

แต่สำหรับร้านนี้นอกจากซุปหัวหอมแล้ว ซุปเห็ด กับครีมซุปไก่กลับไม่ค่อยอร่อย เพราะไม่เป็นครีมข้นอย่างที่เคยกินมาก่อน ใสมากๆ รสชาติก็แค่พอกินได้ค่ะ

เมนูแนะนำสำหรับที่นี่ (จริงๆ ก็สั่งแค่ 2-3 เมนูเอง เพราไม่หิวกันแล้ว และไม่อยากกินอะไรมาก กลับไปก็จะนอนแล้วน่ะ)

มีซุป French onion เป็นซุปหัวหอม ใส่ขนมปังฝรั่งเศสด้วย ร้านนี้มีไข่แดงลอยหน้ามาด้วยแหละ บางร้านก็จะหัวหอมทอดโรยหน้าด้วย แต่ของร้านนี้ไม่มีนะ เมนูนี้รสชาติดีทีเดียว (อันนี้เป็นมติจากพวกเรา 5 คนนะ) ไม่เคยกินมาก่อนเหมือนกัน ไม่รู้หรอกว่าที่อร่อยจริงๆ มันต้องรสไหนน่ะ ที่รู้ๆ คือเมนูนี้มีแค่ที่เมืองนี้แหละ (จาก 3 เมืองที่พวกเราไป คือชิมลา อัมริสซาร์ ธรรมศาลา) ไม่เคยเจอที่อื่น

จากสภากาแฟเราเดินชมเมืองยามค่ำได้ครู่หนึ่ง แล้วก็คิดว่าเราหาอะไรร้อนๆ กินกันซะหน่อยดีกว่า แล้วก็กลับกันเถอะ เพราะฝนมาอีกแล้ว ถ้าตกหนักจะกลับลำบาก แล้วเราก็เลือกร้าน Ashiana Restaurant ซึ่งเล็งไว้ตั้งแต่ตอนกลางวัน เป็นร้านที่ดูดีมีสกุลมากๆ แต่ราคาก็ไม่ได้สูงมากนักนะ

บรรยากาศด้านในร้านค่ะ

อู้งานไปเสียสองวัน ด้วยความเหนื่อยอ่อน พักผ่อนเต็มที่แล้วจ้ะ กลับมาเข้างานเสียที มีหลายคนติดตามชมอยู่

สวัสดีทุกท่านนะคะ พี่หนิง พี่ช่า น้องตาล และขอต้อนรับพี่สุนทรีด้วยค่ะ (ตามที่พี่ได้ส่งเมลล์มาสอบถามไว้ ขอเช็ครายละเอียดเพิ่มเติมอีกหน่อยนะคะ แล้วจะส่งข่าวไปค่ะ หวังว่าคงได้มีโอกาสร่วมเดินทางด้วยกันนะคะ)

เอาล่ะ (ถึงไหนแล้วหว่า)

อ้อ...ถึงเวลานัดหมายกันตอน 5 โมงเย็นว่าจะออกไปเดินเล่นและหาอาหารเย็นกินกัน แต่ฟ้าฝนไม่เป็นใจ ยังคงตกไม่เลิก กว่าจะหยุดก็ประมาณหกโมงเย็นได้ แต่จริงๆ พวกเราก็ยังไม่หิวนะ ก่อนจะได้เวลาอาหารค่ำ(ซึ่งจะสั่งได้ตอนประมาณ 1 ทุ่ม) พวกเราก็เลยถ่วงเวลาโดยการแวะจิบกาแฟที่ร้าน Indian Coffee House ร้านเก่าแก่ที่กาแฟหอมได้ใจมากๆ ถึงร้านจะออกแนวโบราณไปหน่อย เมนูอาหารก็ไม่หลากหลายนัก แต่ได้บรรยากาศสภากาแฟจริงๆ

ให้พาไปส่งเรียนภาษา อยู่ไปอยู่มาเจ้าตาลหนีเที่ยวซะทั่วเลยพี่ จากสานตินิเกตันแล้วยังมีโครงการว่าจะไปดาร์จิลิ่ง สิกขิมต่อด้วยนะ (แต่ก็ด้วยการแนะนำของพี่ๆ วันแรมทางอีกนั้นแหละ) เพราะตอนนี้แถวกัลกัตต้าร้อนจะแย่ จะอยู่ทำไมน้อง ไปอยู่เมืองที่มันเย็นๆ ดิ ดาร์จิลิ่ง สิกขิมนั่นแหละ ใกล้สุดแล้ว ลุยโลด ไปได้ทั่วขนาดนี้ เอาตัวรอดได้สบาย คงไม่ต้องเป็นห่วงท่านน้องแล้วแหละ (แต่ยังไงก็ยังห่วงอยู่นะ เปลี่ยนเมืองทีก็ส่งข่าวมาบอกนะ จะได้รู้ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน)

ดูแลตัวเองนะน้อง พี่ๆ เป็นห่วง 

สงสัยน้องตาลอยู่ครบ 3 เดือน คงเที่ยวเกือบทั่วอินเดียล่ะมั๊ง

ยังไงก็เที่ยวเผื่อพี่ๆที่เมืองไทยด้วยนะจ๊ะ คิดถึงตาลเช่นกันจ้า

ดูแลสุขภาพด้วยนะน้องตาล แล้วเจอกันจ้า

What "s up...P"Nnink

Good

u know where am I now????

555+++  Shantiniketan,Kolkatta   NOT   McLeod Ganj,Dharamsala

5 May , 8.00 PM , AC Volvo from Dharamsala (to Delhi , 6 May 6.30 AM)

6 May , 5.00 PM , Train from New Delhi Railway station (to Kolkatta , 7 May 11.30 AM)

7 May , 12.00 PM , Train from Howrah Railway station (to Bolpur , 7 May 14.30 PM)

My long jouney

I miss u P"Nnhink

สวัสดีตอนเช้าคะน้องนุ้ยนุ้ยถ่ายภาพได้อารมณ์มากเลยความอยากเกิดทันทีเลย

           พี่ช่าคะ

           ....... ภาพสวยจ๊ะน้องนุ้ย .......

ติดตามอ่านมาเป็นปี..และวันนี้มาถึงซิมล่า เห็นภาพแล้วให้นึกถึงวันที่ไปมา

เป็นกำลังใจให้วันแรมทาง บอกรายละเอียดได้ดี ชัดเจน ไปเองได้เลย

แต่ถ้ามีโอกาส อาจปรึกษาเรื่องการเดินทางด้วยคนค่ะ..รอติดตามเพิ่มอีกคน

สวัสดีค่ะพี่โอ๊ต มีสมาชิกเข้ามาเยี่ยมอีกคนหนึ่งแล้ว รอบหน้านะพี่ ไปกันๆ

ถ่ายรูปที่โบสถ์เสร็จก็เดินกลับเข้าโรงแรม อีกครู่หนึ่งฝนก็เริ่มตก ดีนะที่กลับมาถึงห้องก่อน ไม่งั้นแย่แน่ แล้วก็นึกห่วงพี่น้องกับพี่จี้ ไม่รู้ว่ากลับมาถึงหรือยัง เพราะแยกกันเดิน (แล้วก็อย่างที่ห่วง พี่ๆ ของเราเจอฝนซึ่งตกลงมาเป็นเหมือนลูกเห็บเม็ดเล็กๆ ก่อนถึงโรงแรมเล็กน้อย)

เอาล่ะ ไหนๆ ฝนก็ตกอยู่ อากาศก็เย็น ทำไรดีล่ะ นอนซิพวกเรา นัดเจอกันอีกทีตอนประมาณ 5 โมงเย็น จะออกไปหาของกินกัน แล้วก็ห้องใครห้องมัน เฝ้าพระอินทร์กันดีกว่า

งั้นขอพักแค่นี้ก่อนนะ ต้องออกไปช่วยงานบุญภาคบ่ายแล้วแหละ ค่ำนี้ถ้ามีแรงเหลือจะมาต่อค่ะ

ได้เที่ยวกันได้พักใหญ่ก็เริ่มเหนื่อย ฟ้าเริ่มครื้มเหมือนฝนจะมาแล้วด้วย กลับไปพักผ่อนกันดีกว่า ช่วงเย็นๆ ค่อยออกมาใหม่อีกรอบ

โรงแรมกุลมาร์คที่พวกเราพักอยู่ติดกับพื้นที่ของทหารค่ะ (หลังคาเขียวๆ นี่แหละ) และต้องเดินผ่านโบสถ์คริสต์ที่ดูคลังๆ อีกแห่งหนึ่งด้วย เลยแวะเข้าไปถ่ายรูปในบริเวณโบสถ์ซะหน่อย แบบว่าชอบต้นไม้ต้นนี้น่ะ แต่ไม่ได้ตั้งใจจะแอบถ่ายรูปหนุ่มสาวคู่นี้นะ

สวยมากเลยอะครับ น่าไป

และยังมีอาคารเก่าแก่ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมแนวอาณานิคม อย่างที่ทำการของเทศบาลเมืองชิมลาด้วย

ถนน Mall เป็นถนนเส้นหลักของเมือง และเป็นแหล่งรวมผู้คน ทุกคนที่มาชิมลาจะต้องมาเดินเล่นและซื้อของที่ถนนนี้ มีร้านขายของ ร้านอาหาร โรงแรมที่พัก และสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์หลายแห่ง เช่น โบสถ์คริสต์แห่งนี้ ซึ่งสร้างมาตั้งแต่ พ.ศ. 2386 เป็นสถาปัตยกรรมแนวโกธิค ภายในประดับด้วยกระจกสีสรรต่างๆ เสียดายที่ไม่ได้เข้าไปข้างในค่ะ

เดินหาที่กินกันอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจเลี้ยวเข้าร้าน Jashan Restaurant ตั้งใจจะสั่งอาหารหนักแบบเช้าควบกลางวันเลย แต่ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงเวลาอาหารเช้าค่ะ สั่งอย่างอื่นไม่ได้นอกจากเมนูมื้อเช้า ประเภทไข่และขนมปังทั้งหลาย เมนูของกลางวันจะสั่งได้ก็ต้องบ่ายโมงค่ะ สถานการณ์บังคับ เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตามนะคะ ก็กินไข่เจียว ไข่ดาว ขนมปังและชากาแฟกันไปจนอิ่ม มีแรงแล้วก็ออกมาเดินชมเมืองกันต่อ 

เอาไว้มีโอกาสจะพาไปกินนะจ๊ะพี่หนิง

เมื่อวานยังเดินไปไม่ถึงที่กินข้าวเลย ง่วงเสียก่อน วันนี้มาเดินต่อจ้ะ 

ตอนมาถึชิมลาฟ้ามืดครื้ม ฝนตก พอสายหน่อยก็แดดออก ฟ้าเปิด อากาศค่อยเป็นใจให้เที่ยวหน่อย