ใกล้เข้ามาอีกหน่อย

พวกเราเดินลงมาจากชั้นสองของอาคารนี้แหละ เห็นข้างบนก็ว่าสวยแล้ว ลงมาเห็นรายละเอียดใกล้ๆ ข้างล่างนี้ยิ่งกว่าสวยอีก 

เดินลงมาด้านล่างกันก็เจอมุมนี้ค่ะ สัญลักษณ์แห่งพระอาทิตย์ เมืองอุทัยปุระ

พวกเราเจอช่องประตูหรือหน้าต่างเรียงๆ กันแบบนี้ไม่ได้ค่ะ แพ้ทาง...ต้องถ่ายรูปแถวตอนเรียงหนึ่ง

มุมนี้มีความสำคัญอย่างไร จำไม่ได้อ่ะ (ป.ปลาที่ปรึกษาด้านข้อมูลหลับไปแล้วอ่ะ นุ้ยมัวแต่ถ่ายรูปเดินตามไกด์ไม่ทันค่ะ แล้วค่อยมาเพิ่มเติมข้อมูลให้อีกทีแล้วกันนะ...ถ้าหาได้)

ภาพวาดอายุนับร้อยปี แต่รายละเอียดยังชัดเจนอยู่เลย

ทั้งงานสถาปัตยกรรม งานจิตรกรรม ไม่ธรรมดาจริงๆ

มองออกมาเห็นภาพนี้ค่ะ

สวนลอยฟ้าของพระราชวังค่ะ บริเวณนี้อยู่สูงจากพื้นดินราวตึก 3 ชั้น (ถ้าจำไม่ผิดนะ) ต้นไม้ที่เห็นอยู่โดยรอบนี้จะทำการปลูกจนโตก่อนแล้วจึงทำการก่อสร้างเมืองล้อมรอบต้นไม้อีกที

มุมหน้าต่างตรงนี้สวยดีค่ะ ลวดลายอ่อนช้อย มีกระจกสีประดับอยู่อย่างสวยงาม แต่ก็หลุดหายไปเยอะแล้วนะ

นี่คือหุ่นของม้าศึกซึ่งมหาราชาใช้อุบายเอางวงช้างจำลองมาใส่ให้ เพื่อให้ช้างศึกของศัตรูคิดว่าเป็นลูกช้างและจะไม่ทำร้าย ซึ่งได้ผลเสียด้วย

กลับมาปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญาค่ะ ขออภัยค่ะพี่หนิงที่ข้อมูลผิดพลาด นุ้ยนึกว่าชุดที่พี่เตรียมมาเสียอีก เพราะดูเข้ากับกางเกงและผ้าคลุมสีขาวได้อย่างลงตัว นับถือพี่ท่านทุกคนจริงๆ เลยค่ะ

พี่โอ๊ตนี่ก็ไม่ธรรมดานะคะ สามารถเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวแก็งค์ได้เป็นอย่างดี ให้ทำอะไรพี่น้องก็ยินดีร่วมด้วยทุกคนเลย ทริปไหนมีพี่โอ๊ตไปด้วยต้องสนุกแน่ๆ อยากไปเส้นไหนก็บอกมาได้เลยค่ะ น้องจัดให้ (ถ้าเป็นแคชเมียร์ก็ปรึกษาพี่หนิงกับพี่ม่านในฐานะคนเคยไปได้ค่ะ ทริปสิกขิมพี่ม่านกับพี่จูก็กำลังสนใจอยู่เหมือนกัน อาจเป็นช่วงต้นเดือนพฤษภาคม เพราะมีวันหยุดเยอะดี ส่วนทิเบตเนี่ยนุ้ยกับพี่ปลากำลังเล็งๆ กันอยู่ว่าปีนี้อาจจะเปิดสักทริปเป็นการชิมลาง ถ้าทุกอย่างอำนวยนะคะ)

เอาล่ะ ขึ้นบันไดกันมาครบแล้วนะ ไปเดินเที่ยว City Palace ต่อกันเลย มาฟังคุณไกด์บรรยายก่อนนะ

น้องโอ๊ต..หวัดดีจ๊ะ แคชเมียร์ก่อนดีมั๊ยน้องโอ๊ต แล้วถ้าได้ไปจริงๆ อย่าลืมเอาสร้อยเก๋เส้นนั้นไปด้วยนะ ติดใจมากๆ  ชอบดูเวลาโอ๊ตใส่กับเสื้อสีดำ