ได้เวลาเติมพลังด้วยอาหารเย็นกันก่อนเข้าที่พัก ร้าน GYANTSE KICHEN นี้ใหญ่โต และมีนักท่องเที่ยวหลายชาติเข้ามาใช้บริการ เมนูอาหารก็หลากหลาย รสชาตก็ดีค่ะ

พอหนังท้องตึงหนังตาก็หย่อน เข้าที่พัก แล้วก็พักผ่อนกันค่ะ พรุ่งนี้เช้าเราจะออกเดินทางสู่ลาซากันแล้ว ฝันดีราตรีสวัสดิ์ทุกคนค่ะ

ใช้เวลาอยู่ที่นี่เสียนาน หมดแรงแล้ว ได้เวลาต้องเข้าที่พักไปพักผ่อนกันเสียที

มีภาพเก็บตกอีกเล็กน้อยมาฝากค่ะ ภาพนี้จากกล้องป้าบีมค่ะ

พี่ปลาเจอญาติค่ะ...555

เย้ๆๆ พอลงมาถึงด้านล่างฟ้าเปิด อากาศที่นี่เปลี่ยนเร็วจริงๆ ลมพัดเมฆลอยไปลอยมา เดี๋ยวฟ้าเปิดเดี๋ยวฟ้าปิด

ชมวิวด้านนอกกันบ้างดีกว่านะ

ชั้น 7 - 9 มีชั้นละ 1 ห้อง ชั้น 7 และ 8 มีภาพมันดาลาของอนุตตระโยคะตันตระขั้นปิตุ และขั้นมาตา ส่วนชั้น 9 ประดิษฐานรูปปั้นทองแดงของพระวัชรดารา ขนาบข้างด้วยอาจารย์ของกาลจักร ด้านหลังเป็นภาพจิตกรรมฝาผนัง

ชั้น 5 มี 12 ห้อง ประดิษฐานรูปปั้นของลามะองค์สำคัญๆ

ส่วนชั้น 6 - 9 ตอนนี้ปิดไม่ให้ขึ้นค่ะ แต่ตามข้อมูลบอกว่าชั้น 6 นั้นมี 4 ห้อง ประดิษฐานเทพเจ้าในโยคะตันตระ

ชั้น 3 มี 16 ห้อง ประดิษฐานรูปปั้นของเทพเจ้าในกริยาตันตระ (Kriyatantras) และจริยะตันตระ (Caryatantras) ทิศใต้มี 4 ห้อง ทิศตะวันตก 4 ห้อง ทิศเหนือ 4 ห้องและทิศตะวันออกอีก 4 ห้อง รวม 16 ห้องค่ะ

ชั้น 4 มี 20 ห้อง ประดิษฐานรูปปั้นของเทพเจ้าในโยคะตันตระ (Yogatantras)

ที่สำคัญคือไม่สามารถจำได้ด้วยว่าภาพไหนถ่ายจากห้องไหน ชั้นไหน ขอให้ข้อมูลแบบรวบยอดเป็นชั้นๆ ไปเลยแล้วกันนะคะ

ชั้น 1 มีบันไดทางขึ้นสู่ชั้นสองสี่ด้าน ประตูทางเข้าหลักอยู่ทางทิศใต้ (แล้วใช่ที่พวกเราขึ้นมามั้ยเนี่ย)

ชั้น 2 มี 20 ห้อง ประดิษฐานรูปปั้นของเทพเจ้าในกริยาตันตระ (Kriyatantras) และท้าวโลกบาลทั้งสี่ แล้วเป็นทางขึ้นชั้นบน

ขึ้นไปชมด้านบนสถูปกันค่ะ ถ้าจะถ่ายรูป ต้องจ่าย 10 หยวน ถ้าไม่ถ่ายก็ต้องฝากกล้องทั้งหมดไว้ค่ะ แต่กระเป๋าเอาขึ้นไปได้นะคะ ฝากแค่กล้องเท่านั้น ไม่รับฝากกระเป๋าค่ะ

นุ้ยกับหมอจอห์นจ่ายไปคนละ 10 หยวน แล้วก็มีการบ้านต้องทำคือเก็บภาพทุกซอกทุกมุม เพื่อสมาชิกทุกคนค่ะ

และด้วยความที่มี 9 ชั้น 75 ห้อง และในทุกห้องประดิษฐานรูปปั้นของเทพเจ้าและธรรมบาลต่างๆ รวมถึงภาพจิตรกรรมฝาผนังอันวิจิตร ทำให้ภารกิจการบันทึกภาพในสถูปคุมบุมแห่งนี้เป็นงานช้างงงงง ที่ใช้เวลาและพลังมากมายค่ะ

ได้เวลาออกไปชมสถูปคุมบุมแห่งเจียนเซ่กันค่ะ สถูปนี้เป็นสถูปที่ใหญ่ที่สุดในทิเบต เป็นสถาปัตยกรรมสถูปรูปทรงแปดเหลี่ยมที่โดดเด่นมาก สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1427-1439 โดยเจ้าชายรับเท็นคุนซังพัก (Rabten Kunzang Phak) ในรูปแบบที่เรียกว่าคุมบุม (Kumbum) หรือ Tashi Gomang ซึ่งเป็นสถูปที่มีระเบียงด้านนอกและภายในมีห้องหลายชั้น สถูปนี้มี 9 ชั้น (รวมฐาน) ความสูง 35 เมตร มีห้องทั้งสิ้น 75 ห้อง

เสียดายที่ออกมาฟ้าครื้มเสียแล้ว

พระวัชรปราณี

พระมัญชูศรี

ไปชมห้องต่อไปกันค่ะ ห้องนี้คือ Chogyel Lhakhang หรือ Royal Chapel มีรูปปั้นพระศรีอารยเมตไตรยเป็นองค์ประธาน ล้อยรอบด้วยรูปปั้นของลามะองค์สำคัญๆ

รอบๆ ห้องนี้มีรูปปั้นพระโพธิสัตว์ขนาดสูงใหญ่อยู่ล้อมรอบ ดูมีมนต์ขลังทีเดียวค่ะ

สวัสดีค่ะป้าบีม คิดถึงป้าบีมด้วยค่ะ ถูกคั่นเวลาด้วยภารกิจเร่งด่วน เลยขาดช่วงไปหน่อย มาต่อๆๆ

ห้องถัดมา มีรูปปั้นพระศากยมุนีเป็นประธานค่ะ

เครื่องสักการะที่ชาวทิเบตเรียกว่า ตอร์มา (Torma) ปั้นจากแป้งข้าวบาร์เล่ผสมเนย ตกแต่งอย่างสวยงามโดยพระลามะ ทำขึ้นเพื่อบูชาค่ะ

ดูภาพแล้วก็คิดถึงความเพลิดเพลินที่ได้ไป    คิดถึงทุคนเหมือนกัน  คิดถึง...คิดถึง.....

ที่วัดแห่งนี้มีพระคัมภีร์เก่าแก่เก็บรักษาไว้อีกมากมายค่ะ

ขอบคุณค่ะป้าเจี๊ยบ มีป้าแวะมาส่งเสียงอยู่คนเดียวเลย คนอื่นๆ ไม่รู้ไปไหนกันหมด หลายคนคงมาแอบดูอยู่เงียบๆ ไม่ยอมส่งเสียงทักทายกันเลย คิดถึงทุกคนนะคะ

เมื่อวันเสาร์มีภารกิจเร่งด่วน เลยพาเที่ยวชมวัดเพลกอร์ยังไม่จบ วันนี้มาต่อกันเลยค่ะ

ภายในห้องแรก เสียค่าถ่ายรูป 10 หยวนค่ะ 

     จ๊ะ..จ๊ะ..เพลิดเพลินอยู่ก็ที่ภาพสวยๆของนุ้ยนี่แหละ มือโปรฯอยู่แล้ว

เข้ามาชมด้านในวัดกัน วัดนี้เป็นวัดเก่าแก่ และไม่ถูกทำลายค่ะ คุ้มค่าที่จะจ่ายเงินค่ากล้อง เพื่อเก็บภาพในแต่ละห้องเสียหน่อย ก็เลยมีภาพภายในมาฝากกันค่ะ

ห้องนี้คือ Dorjeling Lhakhang หรือ Vajradhatu Chapel มีรูปปั้นพระไวโรจนะสี่เศียร (Sarvavid Vairocana) เป็นองค์ประธาน ด้านหลังเป็นพระธยานิพุทธแจ้าอีก 4 องค์ และพระองค์เล็กปางต่างๆ อีก 20 องค์ค่ะ

ก่อนเข้าไปชมภายในอาราม ต้องผ่านท้าวจตุโลกบาล หรือ 4 Guardian ตามระเบียบค่ะ แต่ที่วัดนี้ไม่ได้เป็นแค่ภาพเขียนนะคะ เป็นรูปปั้นเลยค่ะ ว่าแล้วก็เล่าตำนานท้าวจตุโลกบาลกันหน่อยดีกว่า

ท้าวเวสสุวรรณ (Vaishravana, Namtose) หรือท้าวกุเวร (Kubera) เป็นเจ้าแห่งยักษ์ ประจำทิศเหนือ มีกายสีเหลือง มือขวาถือร่ม มือซ้ายถือพังพอนค่ะ

ท้าววิรุฬหก (Virudhaka, Phakyepo) เป็นเจ้าแห่งครุฑ ประจำทิศใต้ มือถือดาบ

ท้าวธตรฐ (Dhatarattha, Yulkhorsung) เป็นเจ้าแห่งเทวดาสามพวก ได้แก่ กุมภัณฑ์ วิทยาธร และคนธรรพ์ ประจำทิศตะวันออก มือถือผีผาหรือพิณจีน

ท้าววิรูปักษ์ (Virupaksa, Chenmizang) เป็นเจ้าแห่งนาค ประจำทิศตะวันตก มือถืองูและเจดีย์หรือไข่มุก

ที่สำคัญคืออารามเพลกอร์ (Palcho Monastery) ซึ่งมีสถูปคุมบุม (Kumbum Stupa) เป็นศาสนสถานสำคัญประจำเมือง อายุกว่า 600 ปี

สวัสดีค่ะป้าเจี๊ยบ ป้าคงนั่งดูรูปจนฉ่ำใจแล้วซิท่า...อิอิ แต่รูปที่ลงในกระทู้นี้ส่วนใหญ่เป็นรูปกล้องนุ้ยนะคะ ไปเก็บภาพจากกล้องคนอื่นๆ มาบ้างในบางมุม แต่รูปเยอะมากค่ะ แค่กล้องตัวเองก็เลือกไม่ไหวแล้ว ต้องขออภัยด้วยค่ะ สำหรับคนที่อยากยลภาพจากกล้องหมอจอห์นกับหมอแอ๋วเยอะ จะพยายามไปหยิบมาฝากบ้างเท่าที่เป็นไปได้ค่ะ

มาพาเที่ยวต่ออีกหน่อย หลังจากกินอาหารกลางวันกันแล้ว เราก็ออกเดินทางไปเมืองเจียนเซ่กัน ใช้เวลาราว 1.30 ชั่วโมงเท่านั้น

ถึงเจียนเซ่ก็ไปเที่ยวกันเลย เมืองนี้สร้างในศตวรรษที่ 15 เคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรเล็กๆ แห่งหนึ่ง และเป็นเมืองที่อิทธิพลของจีนแผ่เข้ามาน้อยมาก ในอดีตเคยมีอารามถึง 15 อาราม ปัจจุบันเหลืออยู่เพียงเล็กน้อย

กล้องหมอจอห์นมีมุมภาพสวย    กล้องนิคอนของหมอแอ๋วรู้สึกว่าภาพมีมิติ-ความลึกของภาพชัดเจน 

มองและชมเชยตามประสาคนไม่มีความรู้นะคะแต่ชอบดู

เติมพลังด้วยอาหารกลางวันกันก่อนออกเดินทางเปลี่ยนเมืองค่ะ กินร้านเดิมนี่แหละ

อิ่มแล้วก็ออกเดินทางกัน แล้วไปเที่ยวเมืองเจียนเซ่ (Gyantse) ต่อ

ชมดอก ชมผล

แล้วก็ออกมาชมลาน

เที่ยวชมกันจนทั่วแล้วค่ะ ได้เวลากลับเสียที แต่ขาเข้ากับขาออกเป็นคนละทางนะคะ ถ้าไม่มีไกด์จะกลับถูกมั้ยเนี่ย