|
|
|
คำเตือน..ด้วยรักและห่วงใย |
เขาบอกกันว่าที่นี่ คือ "สถานที่ที่สวรรค์กับโลกมนุษย์มาบรรจบกัน" |
ถึงแม้ว่า เส้นทางนี้งดงามเกินบรรยาย ชนิดที่เรียกว่า ควรไปเห็นด้วยตาให้ได้สักครั้งในชีวิต
ถึงแม้ว่า เสน่ห์ของทริปนี้ อยู่ที่วิวสองข้างทาง สวยงามจนหลับตาไม่ลง |
แต่.. ทริปนี้ไม่ได้สะดวกสบาย ไปลำบาก นั่งรถนาน นั่งรถเหนื่อยมาก อาหารพื้นเมืองกินยากมาก ! |
ด้วยเป็นพื้นที่ที่อยู่สูงเหนือจากระดับน้ำทะเลเกินกว่า 4,000 เมตร จึงสุ่มเสี่ยงต่ออาการแพ้ความสูง
ทำให้ปวดหัว อาเจียน ท้องเสีย หายใจไม่ทัน หรือหัวใจวาย |
ดังนั้น.. กรุณาอ่านโปรแกรมดีๆก่อนตัดสินใจจอง |
ถ้าร่างกายไม่แข็งแรง เป็นโรคหัวใจ เป็นความดันสูง หอบหืด ไม่ควรเดินทาง
หากชวนเพื่อนกรุณาบังคับให้เพื่อนอ่านด้วย เพื่อนที่เรื่องเยอะ ห้ามชวน ! เดี๋ยวจะผิดใจกัน ! |
|
|
 |
|
ทัวร์อินเดีย .. |
มะนาลี ลาดักห์ |
เดลลี คุรุ มะนาลี จิสป้า ซาร์ชู ทะเลสาบโซการ์ ทะเลสาบโซโมริริ เลห์
ลามายุรุ อัลชิ ลิกีร์ บาสโก้ นูบราวัลเล่ย์ turtuk village ทะเลสาบพันกอง
(14 วัน 13 คืน) |
|
เดินทาง |
28 สิงหาคม - 10 กันยายน 2559 |
ไปกัน |
10 ท่าน |
|
[นั่งรถคันละ 3 คน ทุกคนจะได้นั่งริมหน้าต่าง] |
|
|

ราคาทัวร์
59,000 บาท
*ยังไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบิน
"จองเร็วได้ตั๋วถูก จองช้าได้ตั๋วแพง"
|
|
|
 |
ค่าตั๋วเครื่องบิน จ่ายตามราคาจริง ณ วันที่ออกตั๋ว กรุณาสอบถามราคาตั๋วก่อนโอนเงิน
*กรณีขอยกเลิกการเดินทาง สามารถขอ refund คืนค่าตั๋วได้เท่าที่สายการบินคืนให้ |
Air India |
ค่าตั๋วเครื่องบิน |
21,300 |
บาท *เป็นราคาโดยประมาณ |
|
|
|
|
เส้นทางสู่ดินแดนบนที่ราบสูงตอนปลายของเทือกเขาหิมาลัย มีหิมะปกคลุมเกือบ
ตลอดทั้งปี มีเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น ที่ดินแดนแห่งนี้จะเปิดรับคนภายนอกเข้าไป
|
เยี่ยมเยือนเทือกเขาสูงหลากสีสันแห่งดินแดนลาดักห์ ทุ่งหญ้าเขียวขจีบนแผ่นดินแคชเมียร์ ธารน้ำตกที่เกิดจากการละลายของน้ำแข็ง ทั้งความงดงามของธรรมชาติ |
ประสาทพระราชวัง วิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของผู้คน อารยธรรมเก่าแก่ของชน
ชาวทิเบตเหล่านี้ล้วนเป็นเสน่ห์ที่เย้ายวน ให้เราอยากไปสัมผัสด้วยตัวเองสักครั้ง |
โปรแกรมไม่มีเวลากำหนดตายตัว ยืดหยุ่นได้ ปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ |
|
|
โปรแกรมการเดินทาง |
|
 |
จุดนัดพบ
|
วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2559 |
สนามบินสุวรรณภูมิ ชั้น 4 ประตู 10 บริเวณที่นั่งหน้าประตู
เวลา 06.00 น. (หกโมงเช้า) |
|
|
วันแรก |
วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2559 (แรม 10 ค่ำ) |
|
เที่ยวบิน |
ระหว่างประเทศ
|
AI333 |
สายการบิน Air India |
|
BKK-DEL |
|
เวลา 08.50-12.05 |
|
 |
|
เส้นทาง |
bangkok - delhi |
เดินทาง |
กรุงเทพ-เดลลี , นั่งเครื่อง 4 ชม.
สนามบิน-ที่พัก , นั่งรถประมาณ 15 นาที
รถบัสปรับอากาศ |
ที่พัก |
Hotel HOLIDAY INN AIRPORT
(5 ดาว) , DELHI AIRPORT
หรือเทียบเท่าในระดับเดียวกัน
Business Hotel พักสบาย ใกล้สนามบิน |
|
 |
|
|
|
06.00 น. พบกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ เช็คอินบัตรโดยสารและโหลดสัมภาระ |
*สามารถโหลดกระเป๋าได้หนักไม่เกิน 20 กิโลกรัม เท่านั้น
แยกย้ายกันเข้าด้านใน ผ่าน ตม. รอขึ้นเครื่องพร้อมกัน |
08.50 น. ได้เวลาเครื่องออก เดินทางสู่ประเทศอินเดีย
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง *กินอาหารเช้าบนเครื่องบิน
|
12.05 น. ถึงแผ่นดินอินเดีย ผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร
|
|
|
 |
 |
ปลา' Tour Leader พาเที่ยว
|
เที่ยว กุตุป มีนาร์ (Tower of Victory) |
|
|
 |
กุตุป มีนาร์ (Qutub Minar) |
หอคอยแห่งชัยชนะ สูง 73 เมตร สัญลักษณ์ของกรุงนิวเดลี |
Qutub กุตุบ หรือ กุตับ คือ ชื่อของกษัตริย์มุสลิม กุตุบอุดดินไอบัก (Qutub-ud-Din Aibak)
Minar มีนาร์ หมายถึง หอคอย หอสูง |
กุตุบมีนาร์ (Qutb Minar) มีชื่อเดิมว่า ปฤถวีสตัมภ์ (ปฤถวี-ชื่อของกษัตริย์ฮินดู สตัมภ์-เสา) เป็นหอคอยที่เป็นสัญลักษณ์ หรือ Landmark ของกรุงนิวเดลี มีความโดดเด่นงดงาม
|
ภายนอกเป็นหินทรายสีแดง สร้างเป็นระดับชั้นขึ้นไปอย่างได้สัดส่วน มีการสร้างต่อๆกันขึ้นไปหลายทอด หลายยุคสมัย แต่ละชั้นจารึกเป็นอักษรอารบิคจากบทสวดในพระคัมภีร์อัลกุรอ่าน |
เดิมพระเจ้าปฤถวีราช กษัตริย์ฮินดูทรงสร้างหอไว้สูงเพียง 28 เมตร เพื่อให้ลูกสาวขึ้นไปดู
แม่น้ำยมุนา อันศักดิ์สิทธิ์ในขณะสวดมนต์ |
ในปี ค.ศ. 1200 กษัตริย์ กุตุบอุดดินไอบัก ซึ่งเป็นกษัตริย์มุสลิมได้สร้างต่อเพิ่มเติม
จากนั้นกษัตริย์องค์อื่นในราชวงศ์เดียวกันได้สร้างต่ออีกสองครั้ง ในปี ค.ศ. 1210 และ 1236 |
ใน ปี ค.ศ. 1369 เกิดฟ้าผ่าลงมาทำให้หอคอยพังเสียหาย กษัตริย์ ฟิโรซชาห์ ตุกลัค แห่งราชวงศ์ตุกลัค จึงได้ทำการบูรณะและสร้างต่อด้วยหินอ่อนและหินทรายแดง จนเป็นหอคอยสูง |
อย่างที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน |
นับเป็นศิลปกรรมแบบมุสลิมผสมฮินดูที่หาดูได้ยาก ความสูงของหอนี้รวมทั้งหมด 73 เมตร แบ่งออกเป็น 5 ชั้น ภายในโปร่ง มีบันไดขึ้นไป 379 ขั้น |
|
|
|
กินอาหารกลางวันที่ร้านอาหาร *อาหารไทย Ego Thai Restaurant
อิ่มแล้วพาไป Shopping ที่ตลาด Khan Market ร้านเสื้อผ้ากิ๊บเก๋ Anokhi Shop |
บ่าย- แวะเที่ยว กุตุป มีนาร์ (Tower of Victory)
|
เย็นถึงค่ำ - เข้าสู่โรงแรมที่พัก กินอาหารค่ำที่ห้องอาหารของโรงแรม
แล้วรีบเข้านอนเก็บแรงไว้เดินทางในวันรุ่งขึ้น |
|
|
วันที่สอง |
วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2559 (แรม 11 ค่ำ) |
|
เที่ยวบิน |
ภายในประเทศ
|
AI9805 |
สายการบิน Air India |
|
DEL-KUU |
|
เวลา 06.30-07.50 |
|
 |
|
เส้นทาง |
delhi - kullu - manali |
เดินทาง |
delhi-kullu นั่งเครื่อง 1 ชม 20 นาที
kullu-manali ประมาณ 40 กม. นั่งรถ 1 ชม. |
|
รถส่วนตัว mahindra scorpio/xylo
นั่งคันละ 3 คน เก็บของบนหลังคา |
ที่พัก |
Hotel Keylinga Inn
หรือ เทียบเท่า 3 ดาว in MANALI
โรงแรมเล็กๆ เน้นวิวสวย
ห้องพักสะอาด ปลอดภัย |
|
 |
|
|
 |
เมืองคุรุ Kullu
|
เป็นเมืองเล็กๆในหุบเขา ที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลเพียง 1,279 เมตร (4,196 ฟุต) |
เมืองคุรุ Kullu หรือ Kulu อยู่ห่างจากสนามบิน Bhuntar Airport เพียง 10 กิโลเมตร
ตั้งอยู่ในตำบลคุรุ รัฐหิมาจัลประเทศ ประเทศอินเดีย |
Kullu Valley เป็นหุบเขากว้าง มีแม่น้ำเบียส (Bias River) ไหลผ่านกลาง
เป็นหุบเขางดงามที่ปกคลุมไปด้วยป่าสน มีวัดศักดิ์สิทธิ์ของชาวฮินดู มากมายในหุบเขาแห่งนี้ |
|
|
|
04.00 น. ตื่นเช้าไปสนามบิน เช็คอินโหลดกระเป๋า กินอาหารเช้า
*ต่างคนต่างกินที่สนามบิน ค่าอาหารไม่รวมอยู่ในค่าทัวร์ |
06.30 น. ได้เวลาเครื่องออก เดินทางสู่สนามบินคุรุ (Bhuntar Airport)
*ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 20 นาที |
07.50 น. เดินทางถึงเมืองคุรุ รถมารับที่สนามบิน
|
แวะเที่ยวเมืองคุรุ กันสักนิด แล้วเดินทางเข้าสู่เมืองมะนาลี
*ระยะทางประมาณ 40 กิโลเมตร นั่งรถนาน ประมาณ 1 ชั่วโมง
|
|
|
 |
 |
นั่งเครื่องสู่เมืองคุรุ (Bhuntar Airport) |
รถที่เราใช้ตลอดการเดินทาง นั่งคันละ 3 คน |
 |
 |
เต็นท์ห้องน้ำของเรา ปวดฉี่จอดได้ทันที |
O2 ออกซิเจน มีพร้อมให้ทุกคน |
|
|
 |
มะนาลี Manali
|
เป็นเมืองเล็กๆในหุบเขา ที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลเพียง 2,050 เมตร (6,730 ฟุต)
ที่เที่ยวหลักๆในมะนาลี ที่ไม่ควรพลาดคือ |
วัด Hadimba Temple เป็นวัดฮินดูกลางป่าสน สร้างขึ้นเพื่อบูชา Hadimba Devi
เป็นวัดที่สร้างด้วยไม้ ที่เก่าแก่ที่สุดใน มะนาลี |
วัด Vashisht Temple วัดฮินดู ที่มีบ่อน้ำพุร้อนอยู่ในบริเวณวัด
Old Manali เขตเมืองเก่า บ้านโบราณ และแหล่งฮิปๆของนักท่องเที่ยวฝรั่งเมากัญชา |
|
 |
 |
วิวสวยๆของมะนาลี |
ปลาเทราต์สดๆจากแม่น้ำ Beas River |
|
|
|
เที่ยง- กินอาหารกลางวัน |
ช่วงบ่าย- เที่ยว เมืองมะนาลี เน้นการเดินเที่ยว เดินปรับสภาพร่างกาย
เหนื่อยกันหน่อย แต่ก็ต้องเดิน เพื่อวันพรุ่งนี้ที่ดีกว่า |
เย็นถึงค่ำ- กินอาหารเย็น จากนั้นพักผ่อน เก็บแรงไว้เดินทางในวันรุ่งขึ้น |
|
|
วันที่สาม |
วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2559 (แรม 12 ค่ำ) |
|
|
วันนี้เดินทางไม่ไกลมาก เส้นทางสวยงาม แต่ถนนไม่ดีอย่างแรงในหลายๆช่วง
|
รถวิ่งได้ช้า ถนนหลายช่วงขรุขระและเป็นหลุมลึกมาก ให้ทำใจเรื่องความลำบากในการนั่งรถกระแทก กระเด็นกระดอน รวมถึงอาการเมารถ และการเข้าห้องน้ำระหว่างทาง |
|
|
เส้นทาง |
manali - Jispa |
เดินทาง |
manali-jispa
ประมาณ 140 กม. นั่งรถ 5-6 ชม. |
|
รถส่วนตัว mahindra scorpio/xylo
นั่งคันละ 3 คน เก็บของบนหลังคา |
ที่พัก |
Hotel Padma Lodge
หรือ เทียบเท่า in JISPA
โรงแรมเล็กๆ เน้นวิวสวย ห้องพักสะอาด ปลอดภัย |
|
 |
|
|
.jpg) |
 |
ดอกไม้ข้างทาง ปลายฤดูฝน |
จามรี (yak) |
 |
 |
ระหว่างเส้นทาง จากมะนาลี - จิสป้า |
Rohthang Pass |
|
|
|
จิสป้า (Jispa) |
ที่นี่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 3,200 เมตร (10,500 ฟุต)
เป็นหมู่บ้านเล็กๆ อยู่ใน Lahaul and Spiti District รัฐหิมาจัลประเทศ ประเทศอินเดีย
|
ตามการสำรวจสำมะโนประชากรเมื่อ ปี ค.ศ. 2001
หมู่บ้านนี้มี 78 ครัวเรือน มีคนอาศัยอยู่เพียง 332 คน เป็นชาย 235 คน หญิง 97 คน |
ที่หมู่บ้านมีลานจอดเฮลิคอปเตอร์ ที่ทำการไปรษณีย์ วัด และ พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านขนาดเล็ก
จิสป้า มักเป็นที่หยุดพักแรมของนักเดินทางจากมะนาลีสู่เลห์ |
|
|
|
ตื่นเช้า- กินอาหารเช้า ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่ เมืองจิสป้า (Jispa) |
*ระยะทางประมาณ 140 กิโลเมตร นั่งรถนาน 5-6 ชั่วโมง |
ระหว่างทาง ผ่าน Rohthang Pass ถนนที่สูงที่สุดบนเส้นทางจากมะนาลี ไปสู่เมืองเลห์ ที่ความสูง 3,978 เมตร (13,050 ฟุต) เหนือจากระดับน้ำทะเล |
เที่ยง- กินอาหารกลางวัน |
บ่าย- เดินทางถึงจิสป้า เดินเล่นในเมือง เดินเยอะๆปรับสภาพร่างกาย |
เย็นถึงค่ำ- กินอาหารเย็น จากนั้นพักผ่อน เก็บแรงไว้เดินทางในวันรุ่งขึ้น |
|
|
วันที่สี่ |
วันพุธที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2559 (แรม 13 ค่ำ) |
|
|
วันนี้ต้องเดินทางไกล ขึ้นสู่พื้นที่สูงระดับเกิน 4,000 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล
ถนนไม่ดีในหลายๆช่วง ต้องขับผ่านทางสูงชัน เส้นทางลัดเลาะไปตามภูเขาสูง ทางเลียบหน้าผา |
รถวิ่งได้ช้า ถนนหลายช่วงขรุขระและเป็นหลุมลึก ให้เตรียมตัว เรื่องความลำบากในการนั่งรถ
กระแทก กระเด็นกระดอน รวมถึงอาการเมารถ และการเข้าห้องน้ำระหว่างทาง |
*คืนนี้ค้างคืนริมทะเลสาบโซการ์ ที่ระดับความสูง 4,530 เมตร (14,860 ฟุต) เหนือระดับน้ำทะเล |
บางคนอาจจะเมารถ และมีอาการแพ้ความสูง เช่น อาจเวียนหัว ปวดหัว ปวดบ่า ปวดไหล่ |
ท้องเสีย อาเจียน นอนไม่หลับ หายใจไม่ถนัด เหนื่อยง่าย ให้ดื่มน้ำเยอะๆ ทำกิจกรรมช้าๆ
เดินช้าๆ ไม่ควรวิ่งหรือกระโดด |
|
|
เส้นทาง |
Jispa - Sarchu - Tsokar lake |
เดินทาง |
jispa-sarchu ประมาณ 85 กม. 2-3 ชม.
sarchu-tsokar ประมาณ 140 กม. 4-5 ชม. |
|
รถส่วนตัว mahindra scorpio/xylo
นั่งคันละ 3 คน เก็บของบนหลังคา |
ที่พัก |
Pastureland Camp
หรือ เทียบเท่า in TSOKAR LAKE
พักแรมที่แคมป์ ริมทะเลสาบ |
|
 |
|
|
|
ตื่นเช้า- กินอาหารเช้าแล้วรีบออกเดินทาง วันนี้เราต้องเดินทางไกลมาก
|
จุดหมายแรกคือแวะพักครึ่งทางที่ ซาร์ชู (Sarchu Camp) |
*ระยะทางประมาณ 85 กิโลเมตร นั่งรถนาน 2-3 ชั่วโมง |
เที่ยง- แวะพักที่แค้มป์ กินอาหารกลางวัน
ที่ตรงนี้สูงมาก เดินช้าๆ กินช้าๆ ดื่มน้ำเยอะๆไม่ต้องกลัวน้ำหมด |
|
|
 |
ซาร์ชู (Sarchu) |
เป็นทุ่งราบท่ามกลางหุบเขา อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 4,290 เมตร (14,070 ฟุต)
การเดินทางจากมะนาลีถึงเลห์ ต้องขับรถไปตามทางหลวง มะนาลี-เลห์ (Manali-Leh Highway) |
แต่ด้วยระดับความสูงและสภาพถนนที่ไม่ดีนัก การเดินทางระหว่างสองเมืองนี้
จึงต้องใช้เวลาถึง 2 วัน |
ซาร์ชู (Sachu) เป็นจุดที่ตั้งอยู่ระหว่างรัฐหิมาจัลประเทศและรัฐจัมมูและแคชเมียร์ ผู้ที่ต้องเดินทางไปมาระหว่างสองเมือง จึงนิยมแวะพักกันที่นี่ |
เส้นทางนี้ รวมถึงแค้มป์ที่พัก จะปิดลงในฤดูหนาวที่หิมะท่วมสูงจนรถไม่สามารถวิ่งได้ |
|
 |
แค้มป์ที่ซาร์ชู (Sarchu Camp) |
|
|
 |
ทะเลสาบโซการ์ (Tsokar Lake) |
ทะเลสาบงดงาม อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 4,530 เมตร (14,860 ฟุต) |
เป็นทะเลสาบน้ำเค็ม อยู่บนที่ราบสูง Rupshu ทางตอนใต้ของลาดักห์ ในรัฐจัมมูและแคชเมียร์
ปัจจุบันชาวเผ่าเร่ร่อน Changpa ใช้น้ำในทะเลสาบมาผลิตเป็นเกลือ ส่งออกไปยังทิเบต |
บริเวณนี้มีความผันผวนทางสภาพอากาศมาก ในฤดูหนาวอาจหนาวเย็นได้ถึง -40 องศาเซลเซียส และอาจสูงถึง 30 องศาเซลเซียส ในฤดูร้อน ฝนแทบไม่ตกเคยมีในพื้นที่แถบนี้ |
|
 |
 |
ทะเลสาบโซการ์ ในเดือนตุลาคม |
ทะเลสาบโซการ์ ในเดือนสิงหาคม |
|
|
|
ถ่ายรูปดื่มด่ำกับธรรมชาติ และปรับตัวให้เข้ากับพื้นที่สูง
พักพอหายเหนื่อย แล้วออกเดินทางต่อสู่ ทะเลสาบโซการ์ (Tsokar Lake) |
*ระยะทางประมาณ 140 กิโลเมตร นั่งรถนาน 4-5 ชั่วโมง |
บ่ายถึงเย็น- เข้าสู่แคมป์ที่พัก พักผ่อนตามสบาย
ช่วงค่ำ- กินอาหารเย็น คืนนี้พยายามหลับให้ได้ ริมทะเลสาบแสนงาม |
|
|
วันที่ห้า |
วันพฤหัสบดีที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2559 (แรม 14 ค่ำ ) |
|
|
วันนี้ต้องเดินทางไกล ขึ้นสู่พื้นที่สูงระดับเกิน 4,000 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล
ถนนไม่ดีในหลายๆช่วง ต้องขับผ่านทางสูงชัน เส้นทางลัดเลาะไปตามภูเขาสูง ทางเลียบหน้าผา |
รถวิ่งได้ช้า ถนนหลายช่วงขรุขระและเป็นหลุมลึก ให้เตรียมตัว เรื่องความลำบากในการนั่งรถ
กระแทก กระเด็นกระดอน รวมถึงอาการเมารถ และการเข้าห้องน้ำระหว่างทาง |
*คืนนี้ค้างคืนริมทะเลสาบโซโมริริ ที่ระดับความสูง 4,522 เมตร (14,836 ฟุต) เหนือระดับน้ำทะเล |
บางคนอาจจะเมารถ และมีอาการแพ้ความสูง เช่น อาจเวียนหัว ปวดหัว ปวดบ่า ปวดไหล่ |
ท้องเสีย อาเจียน นอนไม่หลับ หายใจไม่ถนัด เหนื่อยง่าย ให้ดื่มน้ำเยอะๆ ทำกิจกรรมช้าๆ
เดินช้าๆ ไม่ควรวิ่งหรือกระโดด |
|
|
เส้นทาง |
tsokar lake - tsomoriri lake |
เดินทาง |
tsokar - tsomoriri
ประมาณ 90 กม. นั่งรถ 3-4 ชม. |
|
รถส่วนตัว mahindra scorpio
นั่งคันละ 3 คน เก็บของบนหลังคา |
ที่พัก |
Tsomoriri resort & Camp
หรือ เทียบเท่า in TSOMORIRI LAKE
พักแรมที่แคมป์ ริมทะเลสาบ |
|
 |
|
|
 |
 |
ถึงแล้วทะเลสาบโมริริ (Tsomoriri Lake) |
ทางช้างเผือกในคืนเดือนมืด |
|
 |
ทะเลสาบโซโมริริ (Tsomoriri Lake) |
ทะเลสาบงดงาม อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 4,522 เมตร (14,836 ฟุต) |
ในภาษาทิเบตทะเลสาบนี้มีชื่อว่า ไวลี (Wylie) หรือ lha mo bla mtsho |
ทะเลสาบโซโมริริ อยู่ในที่เขตที่ราบสูง Changthang เป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคทางตอนเหนือในเขตหิมาลัยของอินเดีย มีพื้นที่ติดกับทั้งลาดักห์ ซันสการ์ และทิเบต |
|
|
|
ตื่นเช้า - กินอาหารเช้า แล้วเดินเที่ยวชมบรรยากาศสบายๆริมทะเลสาบ
อย่าลืมว่าที่ตรงนี้สูงมาก เดินช้าๆ กินช้าๆ ดื่มน้ำเยอะๆไม่ต้องกลัวน้ำหมด |
ออกเดินทางสู่ ทะเลสาบโซโมริริ (Tsomoriri Lake)
*ระยะทางประมาณ 90 กิโลเมตร นั่งรถ 3-4 ชั่วโมง |
เที่ยง- กินอาหารกลางวัน ระหว่างทาง |
บ่ายถึงเย็น- เข้าสู่แคมป์ที่พัก พักผ่อนตามสบาย
ช่วงค่ำ- กินอาหารเย็น คืนนี้พยายามหลับให้ได้ ริมทะเลสาบแสนงาม |
|
|
วันที่หก |
วันศุกร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2559 (ขึ้น 1 ค่ำ ) |
|
|
คืนนี้ค้างคืนที่ระดับความสูง 3,500 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล บางคนอาจจะมีอาการแพ้ความสูง |
เช่น อาจเวียนหัว ปวดหัว ปวดบ่า ปวดไหล่ ท้องเสีย อาเจียน นอนไม่หลับ หายใจไม่ถนัด เหนื่อยง่าย
ให้ดื่มน้ำเยอะๆ ทำกิจกรรมช้าๆ เดินช้าๆ ไม่ควรวิ่งหรือกระโดด |
|
|
เส้นทาง |
tsomoriri - leh |
เดินทาง |
tsomoriri - leh
ประมาณ 220 กม. นั่งรถ 6-7 ชม. |
|
รถส่วนตัว mahindra scorpio/xylo
นั่งคันละ 3 คน เก็บของบนหลังคา |
ที่พัก |
Hotel Kidar หรือ เทียบเท่า in LEH
เล็กๆพอพักได้ บรรยากาศพื้นเมือง
|
|
 |
|
|
 |
 |
ขึ้นไปชมทะเลสาบในมุมสูง ยามเช้า |
ระหว่างทางกลับเลห์มองหา ลาป่า (Wild Ass) |
|
|
|
ตื่นเช้า - กินอาหารเช้า แล้วเดินเที่ยวชมบรรยากาศสบายๆริมทะเลสาบ
อย่าลืมว่าที่ตรงนี้สูงมาก เดินช้าๆ กินช้าๆ ดื่มน้ำเยอะๆไม่ต้องกลัวน้ำหมด |
ออกเดินทางสู่ เมืองเลห์ (Leh)
*ระยะทางประมาณ 220 กิโลเมตร นั่งรถ 6-7 ชั่วโมง |
เที่ยง- กินอาหารกลางวัน ระหว่างทาง |
บ่ายถึงเย็น- เข้าสู่โรงแรมที่พัก พักผ่อนตามสบาย
ช่วงค่ำ- กินอาหารเย็น คืนนี้อาบน้ำให้ชื่นฉ่ำ หลับให้เต็มที่กันเลย |
|
|
วันที่เจ็ด |
วันเสาร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2559 (ขึ้น 2 ค่ำ ) |
|
|
คืนนี้ค้างคืนที่ระดับความสูง 3,500 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล บางคนอาจจะมีอาการแพ้ความสูง |
เช่น อาจเวียนหัว ปวดหัว ปวดบ่า ปวดไหล่ ท้องเสีย อาเจียน นอนไม่หลับ หายใจไม่ถนัด เหนื่อยง่าย
ให้ดื่มน้ำเยอะๆ ทำกิจกรรมช้าๆ เดินช้าๆ ไม่ควรวิ่งหรือกระโดด |
|
|
เส้นทาง |
leh |
เดินทาง |
เดินเล่น - นั่งรถเล่นในเมือง |
|
รถส่วนตัว mahindra scorpio/xylo
นั่งคันละ 3 คน เก็บของบนหลังคา |
ที่พัก |
Hotel Kidar หรือ เทียบเท่า in LEH
เล็กๆพอพักได้ บรรยากาศพื้นเมือง
|
|
 |
|
|
 |
เมืองเลห์ (Leh) |
อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 3,500 เมตร (10,500 ฟุต) |
เป็นเมืองหลวงของลาดักห์ คือดินแดนที่ซ่อนเร้นอยู่ท่ามกลางขุนเขา ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเทือกเขาหิมาลัย เต็มไปด้วยภูเขาหิมะที่สูงกว่า 7,000 เมตร จากระดับน้ำทะเล |
เทือกเขาสูงที่โอบล้อม ทำให้เลห์กลายเป็นดินแดนลี้ลับที่ยากแก่การเข้าถึง |
ลาดักห์ในอดีต เคยเป็นอาณาจักรใหญ่ที่รุ่งเรือง เป็นชุมทางการค้าขายของ 1 ใน 3 เส้นทางสำคัญของหิมาลัยโบราณ อันได้แก่ เส้นทางสายไหม เส้นทางเกลือ และ เส้นทางเครื่องเทศ |
พ่อค้ามากมายเดินทางมาพบปะเจรจา แลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้า ที่นี่จึงเป็นจุดเชื่อมต่อวัฒนธรรมและอารยธรรม ระหว่างเอเชียกลาง เอเชียตะวันตก ตะวันออกกลาง และยุโรป |
|
|
|
ตื่นเช้า- กินอาหารเช้า แล้วไปเที่ยวสบายๆในเมืองเลห์ |
เริ่มที่ พระราชวังเชย์ (Shey Palace) ตอนแสงสวยๆ |
แล้วไปต่อที่ วัดเฮมิส (Hemis monastery)
|
|
|
 |
 |
วิวด้านหน้าพระราชวังเชย์ (Shey Palace) |
องค์พระศากยมุณี ภายในพระราชวังเชย์ |
 |
 |
องค์คุรุปัทมสัมภวะ ภายในวัดเฮมิส |
วัดเฮมิส (Hemis Monastery) |
|

|
พระราชวังเชย์ (Shey Palace) |
แต่เดิมเมืองเชย์ เป็นเมืองหลวงเก่าของลาดักห์
พระราชวังนี้สร้างโดยกษัตริย์ Deldan Namgyal เพื่อระลึกถึงผู้เป็นพระบิดา Singge Namgyal |
กำแพงของพระราชวังถูกฉาบด้วยทองคำผสมทองแดง ก่อสร้างเพื่อเป็นพระราชวังฤดูร้อนของกษัตริย์แห่งลาดักห์ ภายในมีองค์พระศากยมุณีที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคนี้ |
วัดเฮมิส (Hemis monastery) |
เป็นวัดเก่าแก่ที่มีชื่อเสียง จัดได้ว่าใหญ่ที่สุดและมั่งคั่งที่สุดในลาดักห์ ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำสินธุ (Indus River) เช่นเดียวกับวัดสำคัญอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น Lamayuru, Alchi, Stok และ Thiksey |
|
|
|
กลางวัน- ได้เวลาท้องหิว กินอาหารกลางวัน
|
แล้วไปต่อที่ วัดธิคเซย์ (Thiksey Monastery)
|
วัด Namgail Tsemo Gompa |
พระราชวังเลห์ (Leh Palace) |
|
|
 |
 |
วัดธิคเซย์ (Thiksey Monastery) |
พระศรีอารยเมตไตรย์ วัดธิคเซย์ |
 |
 |
พระราชวังเลห์ (Leh Palace) |
Shanti Stupa |
|

|
วัดธิคเซย์ (Thiksey Monastery) |
เป็นวัดที่สวยงามที่สุดของลาดักห์ อยู่ในนิกายเกลุคปา ภายในวัดมีองค์พระศรีอารยะเมตไตรย์
ซึ่งชาวพุทธสายมหายานเชื่อว่าเป็นพระโพธิสัตว์องค์ต่อไป ที่จะคอยช่วยเหลือมนุษย์ |
วัด Namgail Tsemo Gompa
|
สร้างตั้งแต่ปี ค.ศ.1430 ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปขนาดใหญ่ และพระคัมภีร์เก่าแก่จากทิเบต บริเวณเหนือตัววัดจะเป็นป้อมปราการเก่า เป็นจุดชมวิวที่สามารถเห็นเมืองเลห์ได้อย่างสวยงาม |
พระราชวังเลห์ (Leh Palace) |
เป็นพระราชวัง ที่ตั้งอยู่อย่างโดดเด่นกลางเมืองเลห์ สร้างในปี ค.ศ. 1630 มีลักษณะรูปแบบสถาปัตยกรรมใกล้เคียงกับพระราชวังโปตาลาในทิเบต คือมีผนังเอียงเข้าหากันทุกด้าน |
Shanti Stupa |
อยู่ห่างจากตัวเมืองเลห์ประมาณ 2 กิโลเมตร Shanti Stupa เป็นเจดีย์สันติภาพที่สร้างขึ้นโดยชาวญี่ปุ่น และมีการทำพิธีเปิดโดยองค์ดาไลลามะ เมื่อปี ค.ศ.1985 |
ที่นี่เป็นจุดชมวิวที่สามารถเห็นตัวเมืองเลห์ และ พระราชวังเลห์ ได้อย่างชัดเจน
|
|
|
|
แล้วปิดท้ายของวันนี้กันที่ Shanti Stupa ชมบรรยากาศยามเย็น แสงสีทองจับทิวเขาขณะอาทิตย์ตกลับขอบฟ้า สวยงามจับใจ |
เย็นถึงค่ำ- กลับเข้าสู่ที่พัก แล้วเข้านอนใครต้องการไปเดินเล่นในเมือง
หรือจะไป Shopping ก็ตามสะดวก แล้วค่อยกินอาหารเย็นพร้อมกัน |
คืนนี้หลับสบายกันที่เลห์ |
|
|
วันที่แปด |
วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2559 (ขึ้น 3 ค่ำ ) |
|
|
คืนนี้ค้างคืนที่ระดับความสูง 3,500 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล บางคนอาจจะมีอาการแพ้ความสูง |
เช่น อาจเวียนหัว ปวดหัว ปวดบ่า ปวดไหล่ ท้องเสีย อาเจียน นอนไม่หลับ หายใจไม่ถนัด เหนื่อยง่าย
ให้ดื่มน้ำเยอะๆ ทำกิจกรรมช้าๆ เดินช้าๆ ไม่ควรวิ่งหรือกระโดด |
|
|
เส้นทาง |
leh - lamayuru |
เดินทาง |
leh-lamayuru
ระยะทางประมาณ 140 กม. นั่งรถ 5-6 ชม. |
|
รถส่วนตัว mahindra scorpio/xylo
นั่งคันละ 3คน เก็บของบนหลังคา |
ที่พัก |
Hotel Moon Land
หรือ เทียบเท่า in LAMAYURU
วิวสวยมาก ห้องพักไม่สะอาดนัก พอพักได้ |
|
 |
|
|
|
ตื่นเช้า- กินอาหารเช้า แล้วออกเดินทาง |
เช้านี้เราจะไปเที่ยวกันที่ บาสโก้ (Basgo) และ วัดลิคีร์ (Likir Gompa) |
*ระยะทางประมาณ 70 กิโลเมตร นั่งรถประมาณ 2-3 ชั่วโมง |
|
|
 |
วิวจากวัดลิกีร์ (View from Likir Gompa) |
 |
 |
บาสโก้ (Basgo) |
วัดลิกีร์ (Likir Gompa) |
|

|
วัดลิคีร์ (Likir Gompa) |
วัดนี้มีพระพุทธรูปพระศรีอาริยเมตไตรย์ ขนาดใหญ่ ทิวทัศน์บริเวณหุบเขาที่อยู่ระหว่างทางไปสู่
วัดลิคีร์ ผ่านโตรกลึก ลำธารน้ำใส ถนนพับไปพับมาตามไหล่เขา ทำให้หมู่บ้านสดชื่นมีชีวิตชีวา |
บาสโก้ (Basgo) |
แห่งหมู่บ้านบาสโก้ ชุมชนเล็กๆก่อนเข้าถึง หมู่บ้านอัลชิ |
บาสโก้มีชื่อเสียงเพราะ UNESCO Asia-Pasific Heritage ภายในมีวัดและพระพุทธรูป
พระศรีอาริยเมตไตรย์ ขนาดใหญ่ที่ปั้นด้วยดินเหนียว เก่าแก่และงดงามมากองค์หนึ่ง |
|
|
 |
 |
Moon Land หุบเข้าโลกพระจันทร์ |
Lamayuru Gompa วัดลามายุรุ |
|

|
ลามายุรุ (Lamayuru) |
อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 3,510 เมตร (10,520 ฟุต) ด้วยทำเลที่ตั้งของลามายุรุนั้นเคยเป็นทะเลสาบมาก่อน ปัจจุบันท้องทะเลสาบแห้งสนิทเห็นชั้นดินที่ธารน้ำแข็งกัดเซาะเป็นร่องลึก |
และเป็นชั้นๆสวยงามแปลกตา จนถูกขนานนามว่า Moon Land หรือ โลกพระจันทร์ |
วัดลามายุรุ (Lamayuru Gompa) วิหารของวัดตั้งอยู่บนยอดเขาสูงแวดล้อมด้วยเทือกเขาขนาดใหญ่ ภายในวัดมีถ้ำเล็กๆซึ่งประดิษฐานประติมากรรมรูปลามะองค์สำคัญได้แก่ท่านมอราปะ |
ผู้ก่อตั้งนิกาย Kagyupa ซึ่งเชื่อกันว่าท่านเคยมาปฏิบัติสมาธิภาวนาในถ้ำแห่งนี้ |
|
|
|
กลางวัน- กินอาหารกลางวัน ระหว่างทาง |
แล้วออกเดินทางต่อสู่ ลามายุรุ จุดหมายปลายทางของเราในวันนี้
*ระยะทางประมาณ 70 กิโลเมตร นั่งรถประมาณ 2-3 ชั่วโมง |
ระหว่างทางผ่าน หุบเขาที่สภาพคล้ายผิวดวงจันทร์มากที่สุด |
แวะถ่ายรูปกันบริเวณที่เรียกว่า Moon Land
|
ถึงลามายุรุ ไปเที่ยวกันที่ วัดลามายุรุ (Lamayuru Gompa) |
ช่วงเย็น- เข้าสู่ที่พัก กินอาหารค่ำ
จากนั้นพักผ่อนกันตามอัธยาศัย เก็บแรงไว้เดินทางในวันรุ่งขึ้น |
|
|
วันที่เก้า |
วันจันทร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2559 (ขึ้น 4 ค่ำ ) |
|
เส้นทาง |
lamayuru - alchi |
เดินทาง |
lamayuru-alchi
ระยะทางประมาณ 60 กม. นั่งรถ 2-3 ชม. |
|
รถส่วนตัว mahindra scorpio/xylo
นั่งคันละ 3 คน เก็บของบนหลังคา |
ที่พัก |
Hotel Zemkhang
หรือ เทียบเท่า in ALCHI
พอพักได้ บรรยากาศพื้นเมือง |
|
 |
|
|
|
ตื่นเช้า- กินอาหารเช้าแล้ว ออกเดินทางสู่ หมู่บ้านอัลชิ |
*ระยะทางประมาณ 60 กิโลเมตร นั่งรถนาน 2-3 ชั่วโมง |
ระหว่างทางแวะเที่ยว หมู่บ้าน Temisgang Village |
เที่ยวชม พระราชวัง Tingmosgang และ วัด Tingmosgang Gompa |
|
|
 |
พระราชวัง Tingmosgang และ วัด Tingmosgang Gompa |
|

|
หมู่บ้าน Temisgang Village |
ตั้งอยู่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำสินธุ |
แต่เดิมที่นี่เคยเป็นเมืองหลวงโบราณของ ราชอาณาจักรแชม (Syham Kingdom)
บนเนินเขาเป็นที่ตั้งของ ปราสาท Tingmosgang Castle และ วัด Tingmosgang Gompa |
Tingmosgang สร้างขึ้นโดยกษัตริย์ Drag-pa-Bum ในศตวรรษที่ 15 ต่อมาภายหลังกษัตริย์ Bhagan ซึ่งคือหลานปู่ของ Drag-pa-Bum ได้ขยายอาณาจักรจนยิ่งใหญ่ และเป็นผู้ก่อกำเนิด |
ราชวงศ์นัมเกล (Namgyal Dynasty) อันมีความหมายว่าชัยชนะ ราชวงศ์นัมเกล นับได้ว่าเป็นราชวงศ์ที่สองของลาดักห์ ที่มีอำนาจทางการปกครองมากในสมัยนั้น เชื้อสายของราชวงศ์นี้ |
ปัจจุบันยังคงอาศัยอยู่ที่ พระราชวังสต็อก (Stok Palace) ไม่ไกลจากเมืองเลห์ |
|
|
Tingmosgang |
ยังมีความสำคัญในด้านประวัติศาสตร์ คือ หลังจากการสิ้นพระชนม์ของ
ดาไลลามะองค์ที่ 5 แห่งทิเบต ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ได้ส่งคณะทูตนำโดย สังฆราชา |
แห่งนิกายดรุกปะ (Drukpa) มาที่ Tingmosgang ในปี ค.ศ. 1684 และได้มีการเซ็นลงนาม
ภายใต้ สนธิสัญญา Tingmosgang ระหว่างราชอาณาจักรทิเบตและลาดักห์ ในประเด็นเขตแดน |
ระหว่างสองราชอาณาจักร ข้อตกลงทางศาสนาและการค้า ที่ยังคงยึดถือมาจนถึงปัจจุบัน |
|
|
 |
 |
วัดอัลชิ (Alchi Gompa) |
พระโพธิสัตวิ์ ภายในวัดอัลชิ |
|
 |
วัดอัลชิ (Alchi Gompa) |
วัดเก่าแก่อายุหลายร้อยปี เป็นวัดเล็กๆในหมู่บ้านที่ดูเงียบสงบ วิหารของวัดนี้สร้างด้วยไม้
ผสมโครงสร้างที่เป็นอิฐ ในรูปแบบดั้งเดิมของชาวลาดักห์ ภายในวิหารเก่าๆนั้น |
มีพระพุทธรูปทองคำประดิษฐานอยู่ด้วย ด้านหลังวัดติดกับลำธารที่มีน้ำสีฟ้าสวยทีเดียว |
|
|
|
เที่ยง- เดินทางถึงหมู่บ้านอัลชิ เข้าสู่ที่พัก กินข้าวกลางวัน |
แล้วไปเที่ยวชม วัดอัลชิ (Alchi Gompa) ต่อเลย |
บ่ายถึงเย็น- เดินเล่นในหมู่บ้าน กินอาหารเย็น คืนนี้พักผ่อนสบายๆ |
|
|
วันที่สิบ |
วันอังคารที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2559 (ขึ้น 5 ค่ำ ) |
|
|
วันนี้ต้องเดินทางไกล ขึ้นสู่พื้นที่สูงระดับเกิน 5,500 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล
ถนนไม่ดีในหลายๆช่วง ต้องขับผ่านทางสูงชัน เส้นทางลัดเลาะไปตามภูเขาสูง ทางเลียบหน้าผา |
รถวิ่งได้ช้า ถนนหลายช่วงขรุขระและเป็นหลุมลึก ให้เตรียมตัว เรื่องความลำบากในการนั่งรถ
กระแทก กระเด็นกระดอน รวมถึงอาการเมารถ และการเข้าห้องน้ำระหว่างทาง |
*คืนนี้ค้างคืนที่นูบราวัลเลย์ ที่ระดับความสูงเกิน 3,500 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล |
บางคนอาจจะเมารถ และมีอาการแพ้ความสูง เช่น อาจเวียนหัว ปวดหัว ปวดบ่า ปวดไหล่
ท้องเสีย อาเจียน นอนไม่หลับ หายใจไม่ถนัด เหนื่อยง่าย ให้ดื่มน้ำเยอะๆ ทำกิจกรรมช้าๆ
|
เดินช้าๆ ไม่ควรวิ่งหรือกระโดด |
|
|
เส้นทาง |
alchi - leh - nubra valley |
เดินทาง |
alchi-leh ระยะทาง 80 กม. นั่งรถ 2-3 ชม. |
|
leh-nubra ระยะทาง 150 กม. นั่งรถ 5-6 ชม.
|
|
รถส่วนตัว mahindra scorpio/xylo
นั่งคันละ 3 คน เก็บของบนหลังคา |
ที่พัก |
Hotel Grand Nubra
หรือ เทียบเท่า in NUBRA VALLEY
บรรยากาศสบายๆ กลางหุบเขาที่ร่มรื่น |
|
.jpg) |
|
|
|
ตื่นเช้า- กินอาหารเช้ากัน วันนี้ต้องเดินทางไกลมากอีกครั้ง
|
ขึ้นรถมุ่งหน้าสู่ เมืองเลห์ (Leh)
*ระยะทางประมาณ 80 ก.ม. ใช้เวลาเดินทาง 2-3 ชั่วโมง |
เที่ยง- กินอาหารกลางวัน ระหว่างทาง |
แล้วขึ้นรถมุ่งหน้าสู่ นูบราวัลเล่ย์ (Nubra Valley)
*ระยะทางประมาณ 150 ก.ม. ใช้เวลาเดินทาง 4-5 ชั่วโมง |
ผ่านเส้นทางรถยนต์สูงที่สุดในโลกคือ กาดุงลาพาส Khardung-La Pass
(altitude 5,578 m) แวะถ่ายรูป สนุกสนานกันตามสมควรแก่เวลา |
|
|
 |
 |
Khardung-La Pass |
ขี่อูฐสองหนอก ที่ sand dune |
|

|
นูบราวัลเลย์ (Nubra Valley) |
อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 3,048 เมตร (10,000 ฟุต) |
เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางคารวานในอดีต เชื่อมต่อกับเส้นทางสายไหมอันโด่งดัง
นูบราหมายถึงหุบเขาแห่งดอกไม้ เป็นแหล่งปลูก Apricot และผลไม้หลากหลายของลาดักห์ |
และเป็นที่อยู่อาศัย ของนกนานาชนิด อยู่ห่างจากเลห์ไปทางเหนือ ประมาณ 150 กิโลเมตร
โอบล้อมด้วยเทือกเขาหิมาลัยและเทือกเขาคาราโครัม (Karakoram Range) |
ซึ่งเทือกเขาคาราโครัมนี้ เป็นเขตแดนตามธรรมชาติกั้นอินเดียกับปากีสถาน |
|
|
|
ช่วงบ่าย- เดินทางถึง นูบราวัลเลย์ เข้าสู่ที่พัก เก็บของพักเหนื่อย |
พอแดดร่มๆ ไปเที่ยวที่ เนินทราย Sand Dunes |
ไปดู อูฐหลัง 2 หนอก (Bactrian camels) ที่หลงเหลือมาจากสมัยที่ขบวนคาราวานยังผ่านไปมา ในเส้นทางสายไหม Trans-Karakoram อันเก่าแก่ |
ทุกวันนี้อูฐทำงานรับจ้างบริการนักท่องเที่ยว แทนอาชีพคาราวานดั้งเดิม
เราจะ ขี่อูฐ เดินเล่นบนผืนทะเลทรายกัน |
*ค่าอูฐ และค่าทิปให้คนจูงอูฐ ไม่รวมอยู่ในค่าทัวร์ ต่างคนต่างจ่ายกันตรงนั้น
เผื่อเงินค่าอูฐและทิป ประมาณ 500-600 รูปี |
เย็นถึงค่ำ- แวะไปเที่ยวเดินตลาดเล็กๆในหมู่บ้าน แล้วกลับเข้าสู่ที่พัก
กินอาหารเย็น คืนนี้หลับสบายกันที่ นูบราวัลเล่ย์ |
|
|
วันที่สิบเอ็ด |
วันพุธที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2559 (ขึ้น 6 ค่ำ ) |
|
เส้นทาง |
nubra - turtuk - samstanling |
เดินทาง |
นั่งรถเที่ยวทั้งวัน |
|
รถส่วนตัว mahindra scorpio/xylo
นั่งคันละ 3 คน เก็บของบนหลังคา |
ที่พัก |
Hotel Grand Nubra
หรือ เทียบเท่า in NUBRA VALLEY
บรรยากาศสบายๆ กลางหุบเขาที่ร่มรื่น |
|
.jpg) |
|
|
|
ตื่นเช้า- กินอาหารเช้า แล้วรีบออกไปเที่ยวกัน วันนี้เที่ยวหลายที่เลย
|
ขึ้นรถมุ่งหน้าสู่ หมู่บ้าน Turtuk Village
*ระยะทางประมาณ 90 ก.ม. ใช้เวลาเดินทาง 2-3 ชั่วโมง |
สบายๆเที่ยวชมบรรยากาศในหมู่บ้าน เบื่อแล้วค่อยกลับที่พัก |
|
|
 |
 |
Turtuk Valley |
เด็กน้อยที่ Turtuk Village |
|

|
หมู่บ้าน Turtuk Village
|
เป็นหมู่บ้านสุดท้ายชายแดนอินเดีย ติดเขตแดนปากีสถาน |
ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำ Shyok ในหุบเขานูบรา (Nubra Valley) ห่างจากเมืองเลห์ ประมาณ 205 กม.
ที่นี่ได้ชื่อว่าเป็นประตูสู่ ธารน้ำแข็ง Siachen Glacier |
ชาวบ้านส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเป็นชาวมุสลิม พูดภาษา Baltistani ภาษาอูรดู และภาษาลาดักห์ หมู่บ้าน Turtuk อยู่ภายใต้การปกครองของปากีสถาน ตั้งแต่เมื่อครั้งที่อินเดียและ |
ปากีสถานได้รับเอกราชจากอังกฤษ จนกระทั่งในช่วงสงครามอินโด-ปากีสถาน ในปี ค.ศ. 1971
อินเดียจึงได้ควบคุมพื้นที่ยุทธศาสตร์แห่งนี้ ทั้งสองประเทศมีความขัดแย้งรุนแรงอีกครั้งเหนือ |
พื้นที่บริเวณนี้ในปี ค.ศ. 1999 ในระหว่างสงครามการ์กิล (Kargil War) จึงไม่แปลกที่ระหว่างสองข้างทาง เราจะพบอนุสาวรีย์เล็กๆ ที่สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงทหารผู้กล้าที่สละชีวิตจากสงคราม |
ด้วยทัศนียภาพของหุบเขาที่สวยงาม หมู่บ้านแห่งนี้เพิ่งเปิดให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามา |
เยือนได้ในปี ค.ศ. 2010 แม้ว่าจะเป็นหมู่บ้านของชาวมุสลิม แต่ก็พอมีวัดเก่าแก่ในศาสนาพุทธให้เห็นอยู่บ้าง |
|
|
 |
 |
พระศรีอารยเมตไตรย์ วัด Diskit |
วัด Diskit - Nubra Valley |
 |
 |
วัด Samstanling Gompa |
นูบราวัลเลย์ (Nubra Valley) |
|
|
|
เที่ยง- กินอาหารกลางวัน
เริ่มที่ วัดดิสกิต (Diskit Gompa) วัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1420
|
แล้วข้ามฝั่งแม่น้ำไปเที่ยวต่อที่ วัด Samstanling Gompa |
ระหว่างทางเป็นเส้นทางที่สวยแปลกตามาก
วัดนี้เป็นวัดของนิกายหมวกเหลือง (Gelug-pa) ที่ค่อนข้างใหม่ |
อายุเพียงกว่าร้อยปี คือสร้างเมื่อปี ค.ศ. 1841
ใน guidebook บอกว่าเป็นวัดที่เป็นที่เลื่อมใสที่สุดในหุบเขานูบรา |
เย็นถึงค่ำ- กลับที่พัก กินอาหารเย็น คืนนี้หลับสบายกันอีกสักคืนที่ นูบราวัลเล่ย์ |
|
|
วันที่สิบสอง |
วันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2559 (ขึ้น 7 ค่ำ ) |
|
|
วันนี้ต้องเดินทางไกล ขึ้นสู่พื้นที่สูงระดับเกิน 5,300 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล
ถนนไม่ดีในหลายๆช่วง ต้องขับผ่านทางสูงชัน เส้นทางลัดเลาะไปตามภูเขาสูง ทางเลียบหน้าผา |
รถวิ่งได้ช้า ถนนหลายช่วงขรุขระและเป็นหลุมลึก ให้เตรียมตัว เรื่องความลำบากในการนั่งรถ
กระแทก กระเด็นกระดอน รวมถึงอาการเมารถ และการเข้าห้องน้ำระหว่างทาง |
*คืนนี้ค้างคืนริมทะเลสาบพันกอง ที่ระดับความสูง 4,350 เมตร (14,270 ฟุต) เหนือระดับน้ำทะเล |
บางคนอาจจะเมารถ และมีอาการแพ้ความสูง เช่น อาจเวียนหัว ปวดหัว ปวดบ่า ปวดไหล่ |
ท้องเสีย อาเจียน นอนไม่หลับ หายใจไม่ถนัด เหนื่อยง่าย ให้ดื่มน้ำเยอะๆ ทำกิจกรรมช้าๆ
เดินช้าๆ ไม่ควรวิ่งหรือกระโดด |
|
|
เส้นทาง |
nubra velley - pangong lake |
เดินทาง |
nubra valley - pangong lake
เส้นทางผ่านแม่น้ำ shyok river |
|
นั่งรถทั้งวัน *ชั่วโมงการเดินทางขึ้นอยู่กับสภาพถนน |
|
รถส่วนตัว mahindra scorpio/xylo
นั่งคันละ 3 คน เก็บของบนหลังคา |
ที่พัก |
Shambala Camp in PANGONG LAKE
พักแรมกันริมทะเลสาบ
|
|
 |
|
|
 |
ตื่นเช้า- กินอาหารเช้ากัน วันนี้ต้องเดินทางไกลมากอีกครั้ง
|
ขึ้นรถมุ่งหน้าสู่ ทะเลสาบพันกอง (Pangong Tso)
*เส้นทาง ระยะทาง และชั่วโมงการเดินทาง ประมาณไม่ได้ ขึ้นอยู่กับสภาพถนนในวันนั้น |
วันนี้เราเดินทางเรียบแม่น้ำ Shyok River |
เที่ยง- กินข้าวกลางวัน
ท่ามกลางวิวที่สวยงาม ระหว่างเส้นทางสู่ทะเลสาบพันกอง |
|
|
 |
 |
แม่น้ำ Shyok River |
ทะเลสาบพันกอง (Pangong Lake) |
|

|
ทะเลสาบพันกอง (Pangong Lake)
|
มีความยาวถึง 40 ไมล์ กว้าง 2-4 ไมล์
พื้นที่ 75% ของทะเลสาบอยู่ในดินแดนทิเบต อีก 25% อยู่ในเขตของอินเดีย |
เป็นทะเลสาบน้ำเค็มที่อยู่สูงที่สุดในโลก คือ 4,350 เมตร (14,270 ฟุต) จากระดับน้ำทะเล |
ชื่นชมความงามของทะเลสาบที่มีภูเขาสูงเป็นฉากหลัง น้ำในทะเลสาบแห่งนี้มีสีสันที่งดงามมาก โดยเฉพาะในช่วงเย็นน้ำจะมีสีน้ำเงินเข้ม งดงามจับใจ |
ถ่ายรูป สนุกสนานพักผ่อนชื่นชมธรรมชาติกันตามสะดวก |
|
|
|
บ่ายถึงเย็น- เข้าสู่แคมป์ที่พัก พักผ่อนตามสบาย
ถ่ายรูป ดื่มด่ำกับความงามของทะเลสาบ ชื่นชมธรรมชาติกันเต็มที่
|
ช่วงค่ำ- กินอาหารค่ำ คืนนี้หลับให้สบายริมทะเลสาบแสนงาม |
|
|
วันที่สิบสาม |
วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2559 (ขึ้น 8 ค่ำ ) |
|
|
วันนี้ต้องเดินทางไกล ขึ้นสู่พื้นที่สูงระดับเกิน 5,300 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล
ถนนไม่ดีในหลายๆช่วง ต้องขับผ่านทางสูงชัน เส้นทางลัดเลาะไปตามภูเขาสูง ทางเลียบหน้าผา |
รถวิ่งได้ช้า ถนนหลายช่วงขรุขระและเป็นหลุมลึก ให้เตรียมตัว เรื่องความลำบากในการนั่งรถ
กระแทก กระเด็นกระดอน รวมถึงอาการเมารถ และการเข้าห้องน้ำระหว่างทาง |
คืนนี้ค้างคืนที่ระดับความสูงเกิน 3,500 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล |
บางคนอาจจะเมารถ และมีอาการแพ้ความสูง เช่น อาจเวียนหัว ปวดหัว ปวดบ่า ปวดไหล่
ท้องเสีย อาเจียน นอนไม่หลับ หายใจไม่ถนัด เหนื่อยง่าย ให้ดื่มน้ำเยอะๆ ทำกิจกรรมช้าๆ
|
เดินช้าๆ ไม่ควรวิ่งหรือกระโดด |
|
|
เส้นทาง |
pangong lake - leh |
เดินทาง |
pangong lake - leh
ระยะทางประมาณ 200 กม. นั่งรถ 5-6 ชม.
|
|
รถส่วนตัว mahindra scorpio/xylo
นั่งคันละ 3 คน เก็บของบนหลังคา |
ที่พัก |
Hotel Kidar หรือ เทียบเท่า in LEH
เล็กๆพอพักได้ บรรยากาศพื้นเมือง
ให้อารมณ์การพักกับชาวบ้าน |
|
 |
|
|
 |
 |
ชางลา (Chang la Pass) |
ความงดงามระหว่างทาง |
 |
 |
ความงดงามระหว่างทาง |
ก่อนกลับเข้าเมืองเลห์ |
|
|
|
ตื่นเช้า- กินอาหารเช้ากัน วันนี้เราจะกลับเมืองเลห์
|
ใช้เส้นทางที่ผ่าน ชางลา (Chang La Pass) ถนนซึ่งสูงเป็นอันดับ 3 ของโลก
*ระยะทางถึงเลห์ประมาณ 200 ก.ม. ใช้เวลาเดินทาง 5-6 ชั่วโมง |
เที่ยง- กลับถึงเมืองเลห์ กินอาหารกลางวัน แล้วเข้าสู่ที่พัก
|
ช่วงบ่าย- ให้เวลาตามอัธยาศัย Shopping ตามสะดวก |
Special Dinner
ช่วงค่ำ- กินอาหารเย็นพร้อมกัน ที่ร้านอาหารอร่อยๆในเมือง |
คืนนี้หลับสบายกันที่เลห์ |
|
|
วันที่สิบสี่ |
วันเสาร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2559 (ขึ้น 9 ค่ำ ) |
|
เที่ยวบิน |
ภายในประเทศ + ระหว่างประเทศ |
|
สายการบิน Air India |
AI446 |
IXL-DEL เวลา 08.00-09.20 |
AI332 |
DEL-BKK เวลา 13.45-19.20 |
|
 |
|
เส้นทาง |
leh - delhi - bangkok |
เดินทาง |
leh-delhi นั่งเครื่องประมาณ 1 ชม.
delhi-bangkok นั่งเครื่องประมาณ 4 ชม. |
|
ช้อปปิ้งในสนามบิน พักผ่อนบนเครื่องบิน
"duty free shopping" |
|
 |
|
|
|
05.00 น. ตื่นกันแต่เช้ามืด เก็บกระเป๋าออกมาไว้หน้าห้องกันเลย
|
ทีมงานจะลำเลียงกระเป๋าขึ้นรถ กินอาหารเช้า แล้วออกเดินทางสู่สนามบิน |
ถึงสนามบินเลห์ Check in บัตรโดยสารและโหลดสัมภาระ
*สามารถโหลดกระเป๋าได้หนักไม่เกิน 20 กิโลกรัม
|
08.00 น. ได้เวลาเครื่องออก เดินทางสู่สนามบินเดลลี
*ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง |
09.20 น. ถึงสนามบินเดลลี ไปเปลี่ยนเครื่องกลับกรุงเทพ
|
13.45 น. ได้เวลาเครื่องออก *ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชม 20 นาที
กินอาหารกลางวันบนเครื่องบิน |
19.20 น. ถึงสุวรรณภูมิ กลับสู่อ้อมกอดของดินแดนมาตุภูมิโดยสวัสดิภาพ |
พร้อมกับมุมมองใหม่ๆในโลกใบเดิมที่แคบลงเสมอ เมื่อการเดินทางสิ้นสุด .....สวัสดีเมืองไทย |
|
|
 |
|
 |
หมายเหตุ-
|
โปรแกรมการเดินทาง อาจเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสมของช่วงเวลา
และสถานการณ์เฉพาะหน้า |
|
|
 |
|
ค่าทัวร์ |
59,000 |
บาท |
ค่าตั๋วเครื่องบิน |
21,300* |
บาท |
หมายเหตุ- จ่ายค่าตั๋วเครื่องบินตามราคาจริง ณ วันที่ออกตั๋ว *เป็นราคาตั๋วโดยประมาณ |
|
|
|
โปรดทราบ-
|
การคำนวณค่าใช้จ่ายต่างๆ คิดจากอัตราแลกเปลี่ยน ที่ 36.00 บาทต่อเหรียญสหรัฐ
ทางบริษัทฯขอสงวนสิทธิ์ในการแจ้งปรับเปลี่ยนราคาค่าเดินทาง |
หากมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นของอัตราแลกเปลี่ยน
โดยยึดอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่จ่ายเงินค่าทัวร์ครบเต็มจำนวนเป็นหลัก |
|
|
เงื่อนไข- |
ราคารวม "ค่าตั๋วเครื่องบิน และทุกอย่างแล้ว"
ต้องการนอนเดี่ยว จ่ายเพิ่ม ท่านละ 12,000 บาท |
|
|
ส่วนลดพิเศษ- |
ทำวีซ่าอินเดียเอง ลด 2,000 บาท
เคยเดินทางกับ วันแรมทาง ลด 1,000 บาท
|
|
|
ราคานี้รวม- |
ค่าตั๋วเครื่องบิน ทุกเส้นทางตามที่ระบุในโปรแกรม |
Air India เส้นทาง |
Bangkok-Delhi-Kullu |
Leh-Delhi-Bangkok |
ค่าธรรมเนียมน้ำมันและภาษีสนามบินไทย-อินเดีย |
ค่าวีซ่าอินเดีย |
ยา Acetazolamide (Diamox) 250 mg มีสำหรับทุกท่าน |
O2 ออกซิเจน ฟรี .. ส่วนตัวคนละ 2 กระป๋อง , ติดรถเป็นกองกลาง 1 แท็งค์ |
อาหารมื้อหลักทุกมื้อ รวม ชา กาแฟ ของหวาน ผลไม้ |
ที่พัก โรงแรมเทียบเท่าตามที่ระบุ พักห้องละ 2-3 ท่าน |
ค่ารถตลอดเส้นทาง นั่งคันละ 3 คน (ทุกคนได้นั่งริมหน้าต่าง) |
ค่าบัตรเข้าชมสถานที่ต่างๆ เฉพาะตามที่ระบุในโปรแกรม |
ค่าบริการ หัวหน้าทัวร์คนไทย/ไกด์ท้องถิ่น (ไม่รวมทิป) |
ประกันอุบัติเหตุ |
CHARTIS New Hampshire Insurance วงเงิน 2,000,000 บาท ค่ารักษาพยาบาล 500,000 บาท |
เงื่อนไข- ภายใต้ข้อตกลงที่มีไว้กับบริษัทประกันชีวิต ครอบคลุมเฉพาะกรณีอุบัติเหตุ
ไม่ครอบคลุมกรณี เจ็บไข้ ป่วย เป็นไข้หวัด ท้องเสีย หรือ อาหารเป็นพิษ ระหว่างเดินทาง |
|
|
ราคานี้ไม่รวม- |
ค่ากล้องถ่ายรูป และ ค่ากล้องวีดีโอ ซึ่งเรียกเก็บเป็นบางสถานที่ |
ค่ากิจกรรมต่างๆ เช่นขี่อูฐ เป็นต้น |
ค่าทิป หัวหน้าทัวร์คนไทย |
ค่าทิป guide หรือ escort ชาวอินเดีย |
ค่าทิป พนักงานบริการในโรงแรม , คนขับรถ , เด็กยกกระเป๋า และทิปอื่นๆ |
ค่าใช้จ่ายอื่นๆ นอกเหนือจากที่ระบุไว้ในรายการ
|
|
|
ค่าทิป- |
ทีมงานอินเดีย (escort คนขับรถ) |
เผื่อเงินไว้ประมาณ 5,600 รูปี หรือ 2,800 บาท สำหรับ 14 วัน ในอินเดีย |
เด็กยกกระเป๋าที่โรงแรม ควรให้ไม่ต่ำกว่า 20 รูปี ต่อครั้ง |
หัวหน้าทัวร์คนไทย แล้วแต่ความพอใจ |
|
|
|
 |
|
การชำระเงิน |
1) |
จ่ายมัดจำค่าทัวร์ |
จำนวน |
10,000 |
บาท |
จ่ายทันทีที่จอง |
2) |
จ่ายค่าตั๋วเครื่องบิน |
จำนวน |
21,300 |
บาท |
จ่ายทันทีที่จอง ตามราคาออกตั๋วจริง
*กรุณาโทรสอบถามค่าตั๋วก่อนโอนเงิน |
|
3) |
จ่ายส่วนที่เหลือ |
จำนวน |
24,500 |
บาท |
ภายในวันที่ 28 มิถุนายน 59 |
|
|
จำนวน |
24,500 |
บาท |
ภายในวันที่ 28 กรกฎาคม 59 |
|
|
|
 |
|
เงื่อนไขการให้บริการ |
|
จองล่วงหน้าตามช่วงเวลาที่กำหนด
|
ชำระเงินตามเงื่อนไขที่กำหนด |
|
|
กรณีลูกทัวร์แจ้งขอยกเลิกการเดินทาง |
แจ้งยกเลิกก่อนการเดินทางไม่น้อยกว่า 30 วัน คืนเงินค่าทัวร์ โดยหักค่าใช้จ่ายตามที่เกิดขึ้นจริง |
แจ้งยกเลิก ก่อนการเดินทางไม่น้อยกว่า 15 วัน หักเงินค่าทัวร์ 50% |
แจ้งยกเลิก ก่อนการเดินทางน้อยกว่า 15 วัน เก็บค่าทัวร์เต็มจำนวนในทุกกรณี |
|
|
เมื่อท่านออกเดินทางกับคณะแล้ว ถ้าท่านงดการใช้บริการรายการใดรายการหนึ่ง เช่น
ไม่เที่ยวบางรายการ ไม่ทานอาหารบางมื้อ หรือไม่เดินทางพร้อมคณะ ถือว่าท่านสละสิทธิ์ |
ไม่อาจเรียกร้องค่าบริการและเงินมัดจำคืนได้ ไม่ว่ากรณีใดๆ ทั้งสิ้น |
|
|
เมื่อท่านตกลงชำระเงิน ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน |
ถือว่าท่านได้ยอมรับเงื่อนไขข้อตกลงต่างๆ ที่ได้ระบุไว้แล้วทั้งหมด
|
|
|
|
|
 |
|
ขั้นตอนง่ายๆในการจองทริปกับเรา |
|
1  |
2  |
3  |
4  |
คลิกเพื่อจองทริป |
คลิกตรวจรายชื่อ |
คลิกเพื่อโอนเงิน |
คลิกเพื่อส่งเอกสาร |
|
|
|
 |
 |
 |
 |
 |
คำแนะนำ |
เตรียมของ |
เตรียมของ |
ฝากแลกเงิน |
จองโรงแรม |
|
|
|
 |
|
 |
|
 |
|
ถ้ามีปัญหาสั่งพิมพ์ไม่ได้ กรุณาโทรแจ้ง 024054561, 0816928233
หรือส่ง email แจ้งขอโปรแกรมได้ที่ info@wanramtang.com |
|
|
|
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ |
ที่อยู่ |
 |
|
บ้านวันแรมทาง
1/60 ซ. อนามัยงามเจริญ 12 แขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน กรุงเทพ 10150
|
โทรศัพท์ |
024054561 |
แฟกซ์ |
024054560 |
มือถือ - ปลา |
0898119139 (AIS) |
มือถือ - นุ้ย |
0816928233 (DTAC) |
Email |
info@wanramtang.com และ wanramtang@hotmail.com |
Line ID/โทรศัพท์ |
wanramtang3 / 0876997475 |
|
 |
วันทำงาน |
วันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 09.00-18.00 น.
|
วันเสาร์ เวลา 09.00-12.00 น. |
วันอาทิตย์ หยุดงาน งดการติดต่อทุกเรื่อง |
ถ้าไม่รับสายหรือโทรไม่ติด กรุณาส่งเป็นข้อความ sms ส่ง email หรือ Line |
|
|
หรือติดต่อผ่านระบบอัตโนมัติ ด้านล่างนี้ |
|
|