|
GRADE A
|
- กินดี อยู่ดี เที่ยวสบาย ไม่ลุย |
|
GRADE B
|
- ประหยัด ลุยบ้างอะไรบ้าง |

|
GRADE C
|
- ถูก ลุย โหด Incredible |
|
|
เลื่อน-ไม่มีกำหนด
ทิเบต (2)
|

|
|
เข้าทิเบตยังไม่ได้ ทริปนี้ขอเลื่อนออกไปก่อน แบบไม่มีกำหนดค่ะ
|

|
NEPAL-TIBET-CHENGDU
Bangkok - Kathmandu - Zhangmu - Nyalam - Rongbu - EBC - Xegar - Xigatze - Gyantse
Yamdrok Lake - Lhasa - Chengdu - Bangkok
11-23 กันยายน 2555
(13 วัน 12 คืน)
ราคา 62,000 บาท ไม่รวมค่าอาหารกลางวัน-เย็น และน้ำดื่ม (ไปกิน ไปแชร์ กันที่โน่นค่ะ)
|
"ฉันไม่เคยไป คุณไม่เคยไป แล้วทำไมเราไม่ไปด้วยกัน"
ถึงสมาชิก วันแรมถึก ที่รักทุกท่าน..........
ทีมสำรวจทริป (1) กลับมาถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ เรารู้กันแล้วว่าทริป (2) จะต้องไปอย่างไร
หลังจากปล่อยให้บรรดาแฟนคลับ(ขับไล่)ทั้งหลาย ต้องลุ้นกันมาอย่างเนิ่นนาน
ในที่สุดทริปทิเบต (2) ของเรา ก็จะได้ออกเดินทางจริงๆเสียที...
|
"ไปกันกลุ่มเล็กๆ ออกเดินทางแน่นอนจ้า"
|
Update รายชื่อผู้จองทริป ( ปิดรับแล้วจ้ะ) |
11-23 กันยายน 2555 มัดจำ 5,000- / งวดแรก 27,000- (11 ก.ค 55) / ที่เหลือ 30,000- (11 ส.ค 55)
|
01-02
|
คุณวิศิษฐ์ (ช) + คุณจงกล (ญ)
|
-ยืนยัน 2 ท่าน / จ่ายครบแล้ว / รับเอกสารแล้ว
|
02-03
|
คุณกี๋ (ญ) + คุณซี่ (ญ) |
-ยืนยัน 2 ท่าน / จ่ายครบแล้ว / รับเอกสารแล้ว
|
04-05
|
คุณบุญเกื้อ (ช) + คุณพจนาถ (ญ)
|
-ยืนยัน 2 ท่าน / มัดจำแล้ว / รับเอกสารแล้ว
|
07
|
พี่แอ๊ะ (ญ)
|
-ยืนยัน 1 ท่าน / มัดจำแล้ว+27,000 / รับเอกสารแล้ว
|
08
|
คุณณรวิทย์ (ช)
|
-ยืนยัน 1 ท่าน / จ่ายครบแล้ว / รับเอกสารแล้ว
|
|
|
|

|
ตาล (ญ)
|
ทีมวันแรมทาง
|
|
หมายเหตุ- ท่านใดที่จองและโอนมัดจำแล้ว แต่ไม่เห็นรายชื่อในนี้ กรุณาโทรแจ้ง คุณนุ้ย - 08-1692-8233 ขอบคุณค่ะ
|
|
 |
นำคณะโดย
น้องตาล- ศุภญาลักษณ์ คงเพ็ชร
แฟนพันธ์แท้ พุทธประวัติ
จบการศึกษาจาก
Master of Fine Art (M.F.A.)
Kala Bhavan (Department of Design)
Visva Bharati University เมืองศานตินิเกตัน - อินเดีย
|
|
โปรแกรมการเดินทาง
|
วันแรก วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555
|
เส้นทาง- กรุงเทพ – กาฐมัณฑุ
ที่พัก- โรงแรมเล็กๆน่ารัก
การเดินทาง- บิน การบินไทย
07.30 น. ลากกระเป๋าแบกเป้มาพบกันที่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จุดนัดพบ- ชั้น 4 ประตู 4 เข้ามาด้านในแล้ว ให้หาที่นั่งรอกันแถวๆนั้นก่อนค่ะ นั่งรอกันสวยๆหล่อๆ เมื่อทุกท่านมากันพร้อม ทีมงานจะพาไปที่เคาน์เตอร์สายการบินไทย เพื่อ Check in บัตรโดยสารและโหลดสัมภาระ
10.15 น. ขบวนการแบ็กแพคไฮโซออกเดินทางโดยสายการบินไทย TG319 (10.15-12.25) กรุงเทพ-กาฐมัณฑุ
กินข้าวกลางวันกันบนเครื่อง
12.25 น. ถึงสนามบินเมืองกาฐมัณฑุโดยสวัสดิภาพ ผ่านกระบวนการตรวจคนเข้าเมืองเรียบร้อย รถและทีมทัวร์เนปาลจะมารับ แล้วพาเที่ยวชมเมืองกันเลย เมืองปาทัน (Patan) นครโบราณ 1 ใน 3 ของหุบเขากาฐมัณฑุ ถือเป็นศูนย์กลางของงานวิจิตรศิลป์และหัตถศิลป์ เป็นนครพุทธที่ได้ชื่อว่ามีประวัติศาสตร์ยาวนานที่สุดในหุบเขาแห่งนี้ วัดทองคาราบาห์ ในเมืองปาทัน ที่ตบแต่งด้วยทองแดงทั้งหลังและมีประวัติยาวนาน สามารถใช้เวลากับเมืองเล็กๆ แต่สวยงามด้วยศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมที่งดงามวิจิตรบรรจงและอลังการ ได้อย่างเต็มที่
เย็น- หาร้านฮิปๆ ปาร์ตี้สุขสันต์กับคืนแรกในเนปาล
|
วันที่ 2 วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2555
|
เส้นทาง- กาฐมัณฑุ
ที่พัก- โรงแรมเล็กๆน่ารัก
การเดินทาง- รถตู้/รถบัส ปรับอากาศ
07:00 น. ตื่นเช้า กินอาหารเช้า แล้วไปเที่ยวกันเลย
โปรแกรมเที่ยววันนี้ ช่วงเช้า เมืองบักตะปูร์ เป็นเมืองที่เรียกได้ว่าน่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์ทั้งเมือง สวยทุกมุม ทางสู่จัตุรัสพระราชวัง (Bhaktapur Durbar Square) จะมี พระราชวัง 55 พระแกล (The Palace of 55 windows) ประตูทองคำ ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่งดงาม ที่ได้เคยปรากฏให้เห็นในภาพยนตร์ เรื่อง A Little Buddha วิหารต่างๆ ที่สร้างในศิลปะทั้งแบบทรง “ศิขร” ซึ่งเป็นอิทธิพลทางอินเดียตอนเหนือ และ ศิลปะแบบทรง “เนวารี” ซึ่งเป็นทรงหลังคาชั้นซ้อน เช่นที่ Nyatapola Temple จะเห็นวิหารหลังคา 5 ชั้นซ้อน และ ตามบันไดทางขึ้นทั้งสองข้างจะมีประติมากรรม สัตว์ มนุษย์ เทวดา เป็นต้น ไล่ระดับความสูงกันไป การปั้นหม้อ ดังที่ปรากฏที่ย่าน Potters Square การทำเครื่องไม้ ด้วยเหตุนี้เราจะได้เห็นหน้าต่างนกยูงสลักไม้ที่ยังคงเหลืออยู่ให้เราได้ชื่นชมกัน ความละเอียดในการแกะสลักผลงานชิ้นนี้ได้ถูกนำไปทำเป็นสินค้าจำลองเพื่อขายให้กับนักท่องเที่ยว การทำหน้ากากคนที่ไม่ธรรมดา ที่วิหารต่างๆ มีภาพอิโรติกเพื่อให้การศึกษากับผู้ที่เพิ่งแต่งงานกันใหม่ๆ ในสมัยก่อน โดยคู่สามีภรรยาจะพากันมาศึกษาตามวัดวิหารต่างๆ เหล่านี้
กลางวัน- พักกินอาหารกลางวันกันที่ร้านอาหาร
ช่วงบ่าย- ปศุปัตินาถ (Pashupatinath) ซึ่งสร้างถวายแด่พระศิวะ ด้วยความเชื่อที่ว่าพระองค์เป็นเจ้าแห่งปวงสัตว์ วัดนี้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำบั้กมาตี (Bagmati) แม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ของชาวเนปาล จัดว่าเป็นวัดที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของชาวฮินดูในเนปาลและประเทศใกล้เคียง (ขอบอกว่าสงวนเฉพาะชาวฮินดูเท่านั้นนะ ที่จะเข้าไปในตัววัดได้) ในขณะเดียวกันก็ยังเป็นสถานที่ใช้เผาศพของชาวฮินดู รวมถึงกษัตริย์และราชวงศ์ของทางเนปาลด้วย ไปเดินดูนักบวชและโยคีที่อาศัยอยู่โดยรอบ (ถ่ายรูปได้ แต่ต้องจ่ายตังค์ด้วยนะ)
แล้วไปต่อกันที่ พุทธนารท (Bodhanath) วัดนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองกาฐมัณฑุ มีเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดในเนปาล บริเวณวัดเป็นแหล่งชุมชนของชาวทิเบตที่อพยพเข้ามาในปี ค.ศ. 1959
เย็น- Free Time Shopping เดินเที่ยวเล่น จับจ่ายซื้อของในย่านทาเมล (Thamel) ตามอัธยาศัย
ค่ำ- กินอาหารค่ำ แล้วพักผ่อนกันให้สบาย พรุ่งนี้เที่ยวกาฐมัณฑุต่ออีกวัน
|
วันที่ 3 วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555
|
เส้นทาง- กาฐมัณฑุ
ที่พัก- โรงแรมเล็กๆน่ารัก
การเดินทาง- รถตู้/รถบัส ปรับอากาศ
07:00 น. ตื่นเช้า กินอาหารเช้า แล้วไปเที่ยวกันเลย
โปรแกรมเที่ยววันนี้ ช่วงเช้า จตุรัสกาฐมัณฑุ (Kathmandu Durbar Square) ซึ่งมีสถานที่ที่น่าสนใจ คือ พระราชวังหนุมานโดก้า เป็นอาคารแบบยุโรปสีขาว มีหอสูง 9 ชั้น เรียกว่า หอพสันตปุระ พระราชวังแห่งนี้ ใช้เป็นที่ประกอบพิธีกรรมอันสำคัญในราชวงศ์ และเมื่อเวลาที่พระมหากษัตริย์เสด็จออกชมการสวนสนาม หนุมานโธกา (Hanuman statue) รูปปั้นหนุมานตั้งบนแท่นสูง ทำหน้าที่นายทวารคอยรักษาประตูทางเข้าพระราชวัง บ้านกุมารี (Kumari House) ที่พำนักของเทพธิดา ตัวแทนแห่งเทพบริสุทธิ์ที่ถือกำเนิดในโลกมนุษย์ ตัวอาคารจะเป็นตึก 3 ชั้น เป็นไม้สลักสวยงามมาก กาฐมณฑป (Kasthamandap) อาคารไม้เก่าแก่ที่สุด และเป็นต้นกำเนิดของชื่อเมืองกาฐมัณฑุ กาฬไภราพ (Kala Bhairab) รูปสลักขนาดใหญ่ของพระอิศวรปางดุร้าย เดิมทีพบที่ทุ่งนาตอนเหนือของตัวเมืองในศตวรรษที่ 18 เชื่อกันว่าศักดิ์สิทธิ์ ส่วนมากจะใช้ในการตัดสินคดีความ โดยจะนำคนที่พูดเท็จมาสาบานต่อหน้ารูปสลักแห่งนี้ วัดตะเลชู (Taleju Temple) วัดประจำองค์พระมหากษัตริย์ เนื่องจากมีความเชื่อว่า เทพตะเลชู คือเทพที่ปกปักรักษาองค์พระมหากษัตริย์ และประเทศเนปาล
กลางวัน- พักกินอาหารกลางวันกันที่ร้านอาหาร
ช่วงบ่าย- วัดสวยมภูนารท (Swyambunath) หรือ วัดลิง ตั้งอยู่บนยอดเขาทางทิศตะวันตกของเมืองกาฐมัณฑุ สร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้ามานะเทวะ ในปี ค.ศ. 420 สิ่งที่น่าสนใจภายในวัดคือสถูปที่มีดวงตาและคิ้วอยู่โดยรอบ อีกทั้งยังเป็นสถานที่เดียวที่พระพุทธศาสนาและศาสนาฮินดูสามารถอยู่คู่กัน
เย็น- Free Time Shopping เดินเที่ยวเล่น จับจ่ายซื้อของในย่านทาเมล (Thamel) ตามอัธยาศัย
ค่ำ- กินอาหารค่ำ แล้วพักผ่อนกันให้เต็มที่ พรุ่งนี้เราจะต้องออกเดินทางไกลกันแล้ว
*** กรุณาเตรียมตัวกินยาป้องกันอาการแพ้ความสูงกันตั้งแต่คืนนี้นะคะ เพื่อความปลอดภัยค่ะ
|
วันที่ 4 วันศุกร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2555
|
เส้นทาง- กาฐมัณฑุ (1,000 m.) - จางมู่ (Zhangmu 2,500 m.) - นียาแลม (Nyalam 3,700 m.)
ที่พัก- โรงแรมเล็กๆ
การเดินทาง- รถตู้/รถบัส ปรับอากาศ
06:00 น. ตื่นเช้า กินอาหารเช้า มื้อสั่งลาเนปาล ประเทศเล็กๆ ที่น่ารัก แล้วเตรียมตัวออกเดินทางกันเลย
07:00 น. นั่งรถออกจากโรงแรม มุ่งหน้าสู่เมืองโกดารี (Kodari) ชายแดนเนปาล ใช้เวลาประมาณ 5-6 ชั่วโมง กินอาหารกลางวันกันให้เรียบร้อย แล้วค่อยข้ามแดนกัน บอกลาทีมทัวร์เนปาล เดินข้ามสะพานระหว่างชายแดนแผ่นดินทั้งสอง แล้วผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองสู่จีนที่เมืองจางมู่ (จีน) ทีมทิเบตมารับช่วงต่อ พาเราขับรถขึ้นเขาลัดเลาะตามแม่น้ำ Bhote Koshi ซึ่งลึกลงไปในหุบเขาท่ามกลางทิวทัศน์ที่สวยงามสู่เมืองนียาแลม
เย็น- กินอาหารเย็น แยกย้ายกันเข้านอนด้วยความอ่อนเพลียแต่มีความสุขที่เมืองนียาแลม
|
วันที่ 5 วันเสาร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2555
|
เส้นทาง- นียาแลม (Nyalam 3,700 m.) - Rongbu (EBC 5,545 m.)
ที่พัก- Guest House เล็กๆ / เต้นท์ที่พัก
การเดินทาง- รถตู้/รถบัส ปรับอากาศ
EBC หรือ เอเวอเรสต์เบสแค้มป์นั้นมี 2 ด้านด้วยกัน ด้านหนึ่งคือ South Everest Base Camp ซึ่งต้องเดินเข้าเท่านั้นใช้เวลาประมาณ 15 วัน ทางฝั่งเนปาลความสูงอยู่ที่ 5,364 เมตร ส่วน Tibetan North Side ที่เราจะนั่งรถเข้าไปถึงนั้นสูง 5,545 เมตร ล่าสุดทางการจีนประกาศว่าภายใน 20 ปี จะสร้างถนนขึ้นไปให้ถึงยอดเอเวอเรสต์ทางฝั่งจีนเลยละ
เช้า- ตื่นเช้า กินอาหารเช้าแบบง่ายๆ แล้วออกเดินทางสู่ EBC กันเลย ระหว่างทางผ่านจุดชมวิวแจ๋วแจ่มแบบ Mt. Everest and
Cho Oyu และผ่าน Thongla pass
กลางวัน- แวะกินกลางวันที่เมืองระหว่างทาง แล้วมุ่งหน้าสู่ Everest Base Camp กันเลย ช่วงประมาณบ่ายๆ จะเริ่มเข้า เขตอุทยานฯ แห่งชาติ Qomolangma หรือ ชื่อของยอดเขาเอเวอร์เรสต์ ในภาษาจีน ซึ่งจะเริ่มเห็นเทือกเขาหิมาลัย เป็นแนวยาว เดินทางสู่วัดรองบุ (วัดหลงปู้ซื่อ)
ในบริเวณนี้มีจุดสำคัญ 3 ที่ด้วยกันคือ
1. วัดรองบุ (8 กม. จาก EBC) 2. บริเวณเต้นท์ที่พัก (6 กม. จาก EBC) รถของเราจะเข้าถึงได้แค่ที่นี่ เมื่อถึงที่พักแล้วเราจะพิจารณาจากอากาศกันอีกทีว่าเย็นนี้อากาศดีน่าไปที่ตัวเบสแค้มป์หรือไม่ ถ้าเย็นนี้อากาศขมุกขมัว พรุ่งนี้เช้าเราค่อยไปชมพระอาทิตย์ขึ้นกัน (แต่จากที่ถามๆ มา เขาว่ากันว่า พระอาทิตย์ตกตอนเย็นงามเจิดกว่าค่ะ) 3. EBC เอเวอร์เรสต์เบสแค้มป์ เราต้องใช้บริการรถบัสหรือ รถ 4 FW ของทางอุทยานเพื่อขึ้นสู่เอเวอร์เรสเบสแคมป์ที่ความสูงกว่า 5,500 เมตร จากระดับน้ำทะเล (ค่ารถประมาณ 400 – 600 หยวนต่อคัน) (หมายเหตุ- ค่ารถเข้า EBC เอเวอร์เรสต์เบสแค้มป์ ไม่รวมอยู่ในค่าทัวร์ บางคนอาจอยากเดิน บางคนอาจอยากนั่งรถ เราค่อยไปดูตามสถานการณ์ค่ะ)
เราขอนำเสนอว่า ท่านใดที่ร่างกายแข็งแรงอยากจะได้ชื่อว่าได้เดินไปพิชิตเอเวอร์เรสต์เบสแค้มป์ด้วยตัวเองมาแล้ว ก็ไปเดินกันนะคะ ประหยัดค่ารถด้วย ระยะทาง 2 กิโลเมตร แต่ไม่ใช่ทางลาดค่ะ ขึ้นล้วนๆ
เย็น- กินอาหารเย็นแบบง่ายๆ และคืนนี้ต้องนอน Guest House เล็กๆ หรืออาจจะเป็น เต้นท์ค่ะ หนาวถึงใจแน่นอน ไม่ได้พกแฟนไปด้วยก็นอนกอดตัวเองเงียบๆ ในถุงนอนขนเป็ดกันไปนะคะ
|

|

|
เต้นท์ที่พัก
|
Everest Base Camp
|
|
วันที่ 6 วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2555
|
เส้นทาง- Rongbu (EBC 5,545 m.) - เซกา (Xegar) - ชิกัตเซ่ (Xigatze 3,900 m.)
ที่พัก- โรงแรมเล็กๆ
การเดินทาง- รถตู้/รถบัส ปรับอากาศ
เช้า- หลังอาหารเช้าง่ายๆ ตามเดิม ใครอยากไปชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นงามๆ ที่ EBC ก็ออกไปกันแต่เช้ามืด จะเดินจะนั่งรถหรือจะนั่งม้าก็ได้ค่ะ (นั่งรถใช้เวลาแค่ 30 นาที, ม้า 2-3 ชม. เดิน แล้วแต่สภาพ) ระหว่างเส้นทางจะผ่านธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ หิมะสีขาวโพลน รอบๆ เป็นที่ราบสลับเนินเขา
กลางวัน- กินอาหารที่ เมืองเซกา (Xegar) เดินทางต่อไปยังเมืองซิกัตเซ่ เมืองใหญ่อันดับ 2 ของทิเบตบนความสูง 3,900 เมตร ระยะทาง 250 กิโลเมตร ทางตะวันตกเฉียงใต้ของลาซา ระหว่างเส้นทางจะผ่าน Gyatchu La จุดที่สูงที่สุดในเส้นทาง Lhasa-Lhatse
เย็น- กินอาหารเย็นกันที่โรงแรม และพักผ่อนกันตามอัธยาศัย
|
วันที่ 7 วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2555
|
เส้นทาง- ชิกัตเซ่ (Xigatze 3,900 m.) - เจียนเซ่ (Gyantse 3,950 m.)
ที่พัก- โรงแรมเล็กๆ
การเดินทาง- รถตู้/รถบัส ปรับอากาศ
เช้า- กินอาหารเช้าพร้อมกัน เข้าชม อารามทาชิลุนโป (Tashilhunpo Monastery) ที่ประทับของปันเชนลามะ ตำแหน่งสำคัญรองจากดะไลลามะ เปรียบเสมือนผู้สำเร็จราชการในช่วงรอการกลับชาติมาเกิดของดะไลลามะองค์ต่อไป อารามแห่งนี้ถูกค้นพบในปี พ.ศ. 1990 โดยมีพระซองขปะ Genden Drup ซึ่งถือเป็นดะไลลามะพระองค์แรกเป็นผู้ก่อตั้ง
กลางวัน- กินอาหารกลางวัน จากนั้นออกเดินทางไปยังเมืองเจียนเซ่ ใช้เวลาประมาณ 1.30 ชั่วโมง เที่ยวชมเมืองเจียนเซ่ สร้างในศตวรรษที่ 15 เคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรเล็กๆ แห่งหนึ่ง และดูเหมือนว่าอิทธิพลจากจีนแผ่เข้ามาน้อยมาก ความรุ่งเรืองเมื่อครั้งอดีตเคยมีอารามถึง 15 อาราม ปัจจุบันหลงเหลืออยู่เพียงเล็กน้อย แต่ที่สำคัญคือ อารามเพลกอร์ (Pholkor Monastery) ซึ่งมีสถูปคุมบุม (Kumbum Stupa) เป็นศาสนสถานสำคัญประจำเมือง อายุกว่า 600 ปี แล้วไปชมวิวสวยๆ ของเมืองเจียนเซ่ที่ Gyantse Dzong Fort
เย็น- กินอาหารเย็นกันที่โรงแรม และพักผ่อนกันตามอัธยาศัย
|
วันที่ 8 วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2555
|
เส้นทาง- เจียนเซ่ (Gyantse 3,950 m.) - ลาซา (Lhasa 3,650 m.)
ที่พัก- โรงแรมเล็กๆ
การเดินทาง- รถตู้/รถบัส ปรับอากาศ
เช้า- กินอาหารเช้า แล้วออกเดินทางสู่ลาซากันเลย นั่งชมวิวทิวทัศน์สองข้างทางที่สวยงามไปเรื่อยๆ ผ่าน Kara-la pass (5,010m) ที่มีทัศนียภาพสวยแปลกตาด้วยธารน้ำแข็งจากเทือกเขา Nojin Kangtsang (7,191m) และ Kamba-la pass (4,794m) ที่สามารถเห็นเมือง Nangartse จนถึง ทะเลสาบ ยัมดร๊อก-โซ (Yamdrok Lake 4,488m) ทะเลสาบสีเทอร์คอยซ์ เรียบไปกับถนนทางขึ้นเขารวมระยะทางหลายร้อยเมตร คดเคี้ยวคล้ายรูปแมงป่อง ทะเลสาบแห่งนี้เป็น 1 ใน 4 ทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ (อีก 3 แห่งคือ Lhamo La-tso, Manasarovar และ Nam-tso) ข้ามแม่น้ำยาร์ลุง ซังโป (Yarlung Tsangpo) ต้นกำเนิดของแม่น้ำพรหมบุตรในอินเดีย ซึ่งกำเนิดจากภูเขาไกรลาศ และจะเห็นพระราชวังโปตาลาอยู่ลิบๆ รออยู่เบื้องหน้า
กลางวัน- กินอาหารกลางวันระหว่างทาง
เย็น- ถึงลาซา เข้าที่พัก กินอาหารเย็น แล้วพักผ่อนกันตามอัธยาศัย
|

|
|
ทะเลสาบ Yamdrok
|
|
|
|
|
|
ทะเลสาบ Yamdrok
|
|
วันที่ 9 วันพุธที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2555
|
เส้นทาง- ลาซา (Lhasa 3,650 m.)
ที่พัก- โรงแรมเล็กๆ
การเดินทาง- รถตู้/รถบัส ปรับอากาศ
เช้า- กินอาหารเช้า แล้วไปเที่ยวกันเลย วัดเดรปุง (Drepung Monastery: Dre = Rice, Pung = Pile) วัดนี้สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1416 โดยลูกศิษย์ของท่านสองขะปะชื่อ Jamyang Chojey วัดเดรปุงจัดว่าเป็นวัดที่ใหญ่ที่สุดในโลกในเวลานั้น เพราะมีพระประจำอยู่มากกว่า 10,000 รูป (ในเวลานี้มีพระประจำอยู่ประมาณ 500 รูป) โดยบริเวณวัดกว้างขวางมาก ซึ่งในอดีตภายในวัดมีวิทยาลัยใหญ่ๆ ของทิเบตตั้งอยู่ถึง ๔ แห่ง แต่ได้ถูกประเทศจีนทำลายหมดทุกแห่ง หลังจากนั้น วิทยาลัย ๒ แห่งได้มีการบูรณะขึ้นใหม่ในประเทศอินเดีย คือ Gomang และ Loseling โดยผู้ลี้ภัยชาวทิเบต ส่วนในด้านสถาปัตยกรรมสร้างด้วยศิลปะแกะสลักอย่างวิจิตรพิศดารงดงาม แสดงถึงความศรัทธาที่มีต่อองค์ทะไลลามะ และมีรูปเทพเจ้าประจำเพื่อบูชามากมายนับไม่ถ้วนอยู่ภายในวัด
กลางวัน- กินอาหารกลางวัน
บ่าย- ไปเที่ยว วัดเซรา (Sera Monastery) วัดนี้สร้างขึ้นเมื่อประมาณปี ค.ศ. 1419 โดยศิษย์ของท่านสองขะปะชื่อ Jamchen Chojey และได้ถูกทำลายใน ค.ศ. 1906 โดยประเทศจีน และได้ทำบูรณะใหม่ขึ้นใหม่อีกครั้งในภายหลัง วัดเซร่าตั้งอยู่ห่างจากเมืองลาซาไปทางทิศเหนือ 2 ไมล์ วัดเซราจัดเป็นวัดที่ใหญ่อันดับสองรองจากวัดเดรปุง มีพระอยู่ประจำมากกว่า 5,000-6,000 รูป และมีวิทยาลัยใหญ่ 3 แห่งตั้งอยู่ในวัด เพื่อเป็นที่สำหรับสอบระดับเกเช่ ภายในวัดจะมีดอกกุหลาบดอกโตๆ ขึ้นเต็มไปหมด จึงได้รับนามว่า “เซรา” ซึ่งแปลว่า “รั้วกุหลาบ
จากนั้นไป ตำหนักนอร์บุลิงกะ กันต่อ พระตำหนักนอร์บุลิงกะ ตั้งอยู่ฝั่งตะวันตกของเมืองลาซาห่างออกไปประมาณ 2 กิโลเมตร คำว่า ‘นอร์บุลิงกะ’ ในภาษาทิเบตหมายถึง ‘สวนป่าอันเป็นที่รัก’ สร้างในสมัยองค์ทะไลลามะที่ 7 เป็นพระราชวังฤดูร้อนที่ซึ่งองค์ทะไลลามะใช้เป็นสถานที่บริหารบ้านเมือง และประกอบกิจกรรมทางศาสนา เห็นได้ชัดว่าสถานที่แห่งนี้เป็นที่รักยิ่งของทะไลลามะหลายองค์ต่อมา เนื่องจากนอร์บุลิงกะได้ผ่านการบูรณะซ่อมแซมและขยายต่อเติมในยุคหลังอีกหลายครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสมัยองค์ทะไลลามะที่ 8 และ 13 มีการก่อสร้างเพิ่มเติมครั้งใหญ่ นั่นคือ ‘สวนป่าสีทอง’ที่เป็นส่วนสถาปัตยกรรมที่มีความสวยงามเป็นเอกของนอร์บุลิงกะมาจนทุกวันนี้ นอร์บุลิงกะ เป็นแหล่งรวมพืชพันธุ์มากกว่า 100 ชนิด มีทั้งที่เป็นไม้ดอกที่พบได้ทั่วไปในลาซา และพันธุ์ไม้จากยอดเขาเอเวอร์เรสที่หาดูได้ยาก นอกจากนี้ ยังมีพันธุ์ไม้ส่วนหนึ่งที่นำมาจากแผ่นดินใหญ่และภายนอกประเทศ จึงได้ชื่อว่าเป็นสวนรุกชาติบนที่สูง นอร์บุลิงกะแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ เขตพระราชฐาน เขตพระราชฐานชั้นนอก และเขตสวนป่า สำหรับโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมที่สำคัญ ได้แก่ หมู่พระตำหนักเก๋อซังพอจางและสวนทางทิศใต้ ห่างออกไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือราว 120 เมตร
เย็น- กินอาหารเย็น เดินซื้อของในเมือง แล้วพักผ่อนกันตามอัธยาศัย
|
หมายเหตุ- แนะนำที่เที่ยวเพิ่มเติม เป็นแผนสำรองกรณีเข้า EBC ไม่ได้ หรือ ไม่ได้นั่งรถไฟ และต้องการเที่ยวลาซาเพิ่ม
วัดกันเดน (Ganden Monastery) วัดกันเดนสร้างขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1409 โดยท่านสองขะปะ สร้างขึ้นเมื่อท่านมีอายุได้ 50 ปี และท่านได้พักอาศัยอยู่วัดนี้ตั้งแต่เข้าสู่สมณเพศ วัดกันเดนจัดเป็นวัดใหญ่วัดหนึ่งในทิเบต ซึ่งมีพระอาศัยอยู่มากกว่า 3,300 รูป และมีวิทยาลัยตั้งอยู่ภายในบริเวณวัดหลายแห่งด้วยกัน
วัดซัมเย ประวัติศาสตร์ของวัดซัมเยมีอยู่ว่า กษัตริย์ซอง เด็ทเซ็นท่านได้นิมนต์ Guru Paoma Sambhava มาเผยแผ่ธรรมให้กับชาวทิเบต เพราะเดิมที่ทิเบตยังไม่มีการเผยแผ่ธรรมให้กับชาวทิเบต พอ Guru Paoma Sambhava มาถึงทิเบตแล้ว ท่านก็เลือกสอนคนทิเบต 7 คน ที่ท่านมองว่าเป็นคนฉลาดที่สุดมาเรียนกับท่านก่อน และเมื่อกษัตริย์ซอง เด็ทเซ็นเห็นว่าพระสงฆ์เป็นกลุ่มกันแล้ว กษัตริย์ก็ได้จัดสร้างวัดถวายให้ ซึ่งก็คือ วัดซัมเย วัดซัมเยถือเป็นวัดแรกที่สร้างขึ้นตามหลักพุทธศาสนา สร้างขึ้นในศตวรรษที่ ๗ โดยกษัตริย์ซอง เด็ทเซ็น วัดแห่งนี้ใช้เวลาก่อสร้างถึง 12 ปี และมีพิธีต่างๆ ทางศาสนาตลอดทั้งปี ที่วัดมีนักบวชหรือที่เรียกกันว่า “ลามะ” คอยทำหน้าที่เผยแพร่คำสั่งสอนตามพุทธธรรม ในส่วนโบสถ์วิหารขนาดใหญ่ภายในวัดนี้จะเป็นผลงานสถาปัตยกรรมอันยิ่งใหญ่ของทิเบตที่ประยุกต์เอาสถาปัตยกรรมของอินเดีย จีน และทิเบตแท้ๆ เข้าด้วยกัน
|
วันที่ 10 วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2555
|
เส้นทาง- ลาซา (Lhasa 3,650 m.)
ที่พัก- โรงแรมเล็กๆ
การเดินทาง- รถตู้/รถบัส ปรับอากาศ
เช้า- กินอาหารเช้า แล้วไปเที่ยวกันเลย วันนี้เรามีนัดกันที่ พระราชวังโปตาลา วังโปตาลาเริ่มสร้างในศตวรรษที่ 7 รัชสมัยพระเจ้าสรองสันคัมโป และได้มาสร้างเพิ่มเติมในศตวรรษที่ 17 สมัยของทะไลลามะองค์ที่ 5 วังนี้ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขา ซึ่งในเวลานั้น วังโปตาลาถือว่าเป็นวังที่สูงที่สุดในโลก วังโปตาลา นี้ถือว่ามีความสวยงามมาก หลังคาพุทธวิหารประดับด้วยกระเบื้องทองคำ และมีพระเจดีย์ล้อมด้วยทองคำเรียงรายกันอยู่บนชั้นสูงสุด วังนี้ใช้เป็นที่ประทับขององค์ทะไลลามะ และบริเวณใกล้เคียงมีวิทยาลัยการแพทย์ตั้งอยู่ วังโปตาลาถือเป็นวังที่ศักดิ์ของชาวทิเบต เพราะแม้แต่ในขณะชาวทิเบตเดินผ่านและมองเห็นยอดพุทธวิหารทองคำของวังนี้ก็จะคุกเข่าลงกราบพร้อมด้วยสวดมนต์ด้วยแรงศรัทธา
กลางวัน- กินอาหารกลางวัน
บ่าย- ไปเที่ยว วัดโจกัง (Jokhang Monastery: Jo = Buddha, Khang = House) วัดโจกังสร้างในศตวรรษที่ 7 โดยพระเจ้าสรองสันคัมโป ตั้งอยู่ที่เมืองลาซา ซึ่งชาวทิเบตถือเป็นวัดที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ซึ่งในวัดมีพระพุทธเจ้า (พระพุทธรูปของพระพุทธเจ้าชื่อ Jwo Jowo Je) ประดิษฐานอยู่ที่วัดโจกังจะเนื่องแน่นไปด้วยผู้คนทุกวัน เนื่องจากในแต่ละวันจะมีชาวทิเบตจำนวนมากมาสวดมนต์ที่วัด
จากนั้นไป เดินเล่นและช้อปปิ้งกันที่ ถนนแปดเหลี่ยม(จัตุรัสบาคอร์) อยู่ใจกลางเมืองลาซา เป็นจุดรวมศาสนา วัฒนธรรม ศิลปะหัตกรรมตลอดจนวัฒนธรรมของทิเบต ยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวเป็นอย่างดี ตลาดถนนแปดเหลี่ยมมากไปด้วยร้านค้า สองข้างเต็มไปด้วยแผงขายสินค้าศิลปหัตถกรรมของชาวทิเบต
วันนี้ทั้งวันเราจะไม่มีโปรแกรมใช้รถนะคะ เพราะโรงแรมเราอยู่ใกล้กับที่สถานที่เที่ยวมากๆ วันนี้จึงเป็นวันเดินทัวร์ ไปกันช้าๆ ไม่เร่งรีบ เวลาเดินจะได้ผ่านร้านรวงอย่างใกล้ชิด ชมวิถีชีวิตชาวบ้านแบบแท้จริง อยากถ่ายรูปช้อปปิ้งตรงไหนก็หยุด เดินกันไปเรื่อยๆ ซึมซับบรรยากาศของเมืองลาซากันให้เต็มอิ่มค่ะ
เย็น- กินอาหารเย็น เดินซื้อของในเมือง แล้วพักผ่อนกันตามอัธยาศัย
|
วันที่ 11-12 วันศุกร์ที่ 21 - วันเสาร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2555
|
เส้นทาง- ลาซา (Lhasa 3,650 m.) - รถไฟสู่เฉิงตู (Chengdu)
ที่พัก- นอนบนรถไฟ
การเดินทาง- รถไฟ
เช้า- กินอาหารเช้า เตรียมเก็บของไว้ให้เรียบร้อย แล้วใช้เวลาอิสระในลาซากัน ก่อนไปขึ้นรถไฟสู่เฉิงตู
11.30 น. ไปถึงสถานีรถไฟลาซา ซึ่งสร้างอย่างสวยงามและทันสมัย ขอบของรถไฟเทียบเสมอพอดีกับชานชลาจนสามารถลากกระเป๋าเข้า-ออกจากรถไฟได้โดยไม่ต้องยกกระเป๋าเลย ในสถานีรถไฟลาซาจะมีเจ้าหน้าคอยดูแลไม่ให้เดินเพ่นพ่านและจะแจ้งให้ออกจากชานชลาทันทีและไม่อนุญาติให้ผู้อื่นที่ไม่ใช่ผู้โดยสารเข้ามาในบริเวณสถานีรถไฟ เจ้าหน้าที่ไกด์และญาติมิตรจะต้องยืนรอรับ-ส่งที่นอกรั้วด้านหน้าเท่านั้น
12.45 น. ได้เวลาขึ้นรถไฟที่สถานีลาซา สู่เมืองเฉิงตู คืนนี้นอนบนรถไฟคืนแรก
|

|

|
ด้านนอกสถานี Lhasa
|
สถานีรถไฟค่ะ
|
|
ตารางรถไฟของปี 2012 Train Lhasa-Chengdu Train schedule 2012
Lhasa to Chengdu Train Schedule
Train Available
|
Start
|
End City
|
Frequency
|
Distance
|
Duration
|
T24/T21
|
Lhasa
(12:45, 1st day)
|
Chengdu
(07:57, 3rd day)
|
Odd Day in Jan/Mar/Jun/Jul/Sep/Oct
Even Day in Feb/Apr/May/Aug/Nov/Dec
|
3360 km
|
43h12m
|
|
Day by Day Schedule (ตรงไหนจอดนาน ลงไปวิ่งเล่นถ่ายรูปได้ ดูตามตารางได้เลย)
Stop
|
Date
|
Arrival
|
Departure
|
Lhasa
|
Day 1
|
Beginning
|
12:45
|
Nakchu
|
Day 1
|
16:39
|
16:45
|
Golmud
|
Day 2
|
01:54
|
02:14
|
Dehaling
|
Day 2
|
05:23
|
05:25
|
Xining
|
Day 2
|
11:17
|
11:37
|
Lanzhou
|
Day 2
|
14:10
|
14:25
|
Baoji
|
Day 2
|
20:39
|
20:59
|
Guangyuan
|
Day 3
|
03:22
|
03:34
|
Chengdu
|
Day 3
|
07:57
|
End
|
|
ประเภทที่นั่งบนรถไฟ จะประกอบไปด้วย:
1. Hard Seat
มีแต่ที่นั่งอย่างเดียวไม่มีเตียงนอน แต่มีออกซิเจนพร้อม คนจีนชอบนั่ง นั่งแล้วก็เล่นไพ่กันไปตลอดทาง 2 วัน 2 คืน

ที่นั่งแบบ Hard Seat มีออกซิเจนส่วนตัว
2. Hard Sleeper
เป็นเตียงนอนแบบสามชั้น ด้านละ 3 เตียง ห้องหนึ่งก็จะมีทั้งหมด 6 เตียง แต่ละห้องไม่ล๊อคเดินทะลุถึงกันได้ตลอดเวลา ไม่ มีทีวีส่วนตัว แต่มีออกซิเจนส่วนตัวที่หัวเตียงทุกเตียง ไม่มีอะไรทำก็นอนดมออกซิเจนไปพลางๆ พนักงานบนรถไฟเติมออกซิเจนได้ตลอดเวลา

แบบ Hard Sleeper เตียงสามชั้น มีออกซิเจน ไม่มีทีวี ห้องไม่ล๊อค วิ่งเล่นได้
3. Soft Sleeper
เตียงนอนแบบสองชั้น ด้านละ 2 เตียง ห้องหนึ่งจะมี 4 เตียง แต่ละห้องจะล๊อคเดินเล่นหากันไม่ได้ ทุกเตียงมีออกซิเจนแบบบุฟเฟ่ต์ดมได้ไม่อั้นที่หัวเตียง ปลายเตียงก็มีทีวีส่วนตัวคนละเครื่อง แต่หลายคนบอกว่าดูได้แค่ช่องเดียวเป็นภาษาจีนเสียด้วย

Soft Sleeper เตียงสองชั้น ห้องหนึ่งจึงมี 4 เตียง
แต่ละห้องจะล๊อคเดินหากันไม่ได้ มีออกซิเจนและทีวีส่วนตัว
วันแรมถึกของเราจะพยายามแย่งชิงตั๋วแบบ Soft Sleeper มาให้ได้ ถ้าไม่ได้ เราก็จะต้องเอา Hard Sleeper มาให้ได้ ช่วงที่เราเดินทางไปเป็นช่วงยอดนิยมของทิเบต เพราะเป็นฤดูร้อน อากาศจะกำลังเย็นสบาย การเดินทางสะดวก แต่แน่นอนว่าการจองตั๋วรถไฟไม่สะดวกเลย ถ้าเข้าขั้นวิกฤตมากๆ เราอาจจะจองๆที่นั่งหลายๆแบบ คละกันไป บางคนอาจจะโดนไปนั่งเล่นไพ่หมดตัวก็เป็นไปได้ ฮ่าๆ
|
หลายๆ คนอาจกังวลว่าอยู่บนรถไฟสองวันจะอยู่กันยังไง เรามีภาพต่างต่างมาให้ชมกัน ทั้งเรื่องห้องน้ำ ห้องอาบน้ำ ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ห้องกินข้าว

ห้องน้ำบนรถไฟ ก็ได้อยู่ มีห้องน้ำหลายแบบให้เลือก แบบชักโครกดูนั่งสบาย
ห้องอาหาร กินข้าวกัน ร้านขายน้ำ ขายขนมบนรถไฟ

อาหารที่ขายบนรถไฟ
(บนขบวนรถไฟมีอ่างล้างหน้า แปรงฟัน และน้ำอุ่นบริการตลอด 24 ชั่วโมง)
ภายในตู้รถไฟมีเครื่องทำความร้อน หรือ ฮีตเตอร์ ติดตั้งและท่ออ๊อกซิเจน บริการตลอด 24 ชั่วโมง
ภายในรถไฟมีน้ำร้อนให้บริการฟรีตลอด 24 ชั่วโมง พกโจ๊ก, มาม่า, ข้าวต้มซอง ไปกินกันให้สนุกได้เลย
ราคาอาหารแบบแพ็คเป็นเซ็ทจะอยู่ที่ประมาณ 20-25 หยวนต่อมื้อ
แนะนำพิเศษ พกอะไรขึ้นไปกินด้วยก็ได้ค่ะ พวกผลไม้ ขนม มาม่า ปลากระป๋อง เผื่ออาหารจีนไม่ถูกปากและอย่าลืมแยกของใช้ที่จำเป็นออกมาให้หยิบง่ายๆ สำหรับ 2 วัน 2 คืนที่ต้องอยู่บนรถไฟด้วยนะคะ (แปรงสีฟัน, สบู่, ผ้าเช็ดตัว ฯลฯ)
|
3,664 เมตร จากระดับน้ำทะเล - ออกเดินทางจาก “สถานีรถไฟลาซา”
4,305 เมตร จากระดับน้ำทะเล - เข้าสู่เขต “หยังปาจิ่ง” ผ่านโรงงานไฟฟ้าพลังไอน้ำ บริเวณนี้จะมีบ่อน้ำพุกระจายอยู่ทั่วไป บางบ่อจะมีน้ำพุพวยพุ่งสูงถึง 100 เมตร
5,072 เมตร จากระดับน้ำทะเล - ออกจากเขตปกครองตนเองชนชาติทิเบตที่สถานีบนภูเขา “ถังกู่ลา-ซาน” จุดสูงสุดที่
รถไฟสายประวัติศาสตร์พาดผ่าน ชมแนวเทือกเขาเก๋อลาตานตง (ยอดสูงสุดสูง 6,621 เมตรจากระดับน้ำทะเล) ซึ่งเป็นต้นน้ำของแม่น้ำแยงซีเกียง ขบวนรถไฟจะผ่านอุโมงค์ที่สูงที่สุดในโลก 4,905 เมตรจากระดับน้ำทะเล “เฟิงหว่อซาน”
4,743 เมตร จากระดับน้ำทะเล - เขต “เขอเข่อซีหลี่” เขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าสงวนประเภท กวางทิเบต ลาป่า วัวเหลือง ฯลฯ รถไฟจะวิ่งผ่านสะพานข้ามแม่น้ำ ซึ่งตัวสะพานจะออกแบบเป็น 2 ชั้น ชั้นบนสำหรับรถไฟวิ่ง และชั้นล่างสำหรับให้ฝูงสัตว์ป่าอพยพ
4,615 เมตร จากระดับน้ำทะเล - เขต “ปู้ต้งเฉวียน” น้ำในบริเวณนี้จะไม่กลายเป็นน้ำแข็งไม่ว่าจะอยู่ในฤดูหนาวที่มีหิมะปกคลุม เพราะมีความร้อนระอุส่งผ่านมาจากใต้ดิน
4,772 เมตร จากระดับน้ำทะเล – เข้าสู่ช่วงสูงสุดของช่องเขาคุนหลุนที่ทางรถไฟพาดผ่าน ชมธารน้ำแข็งสุริโยธินเบิกฟ้า ถ้าอากาศดีสามารถมองเห็นยอดสูงสุดของภูเขาคุนหลุน (6,178 เมตร) ซึ่งน้อยคนนักจะมีโอกาสเห็นด้วยตา ผ่านอุโมงค์ที่เจาะผ่านเทือกเขาคุนหลุนยาว 1,686 เมตร ถือว่าเป็นอุโมงค์ที่ยาวที่สุดในโลกที่สร้างบนเขตดินแดนน้ำแข็ง ผ่านทะเลสาบซีหวังมู่
2,820 เมตร จากระดับน้ำทะเล - นั่งรถไฟชมวิวเพลินใจ รถไฟจะค่อยๆ ลดระดับต่ำลงไปเรื่อยๆ กลางดึกคืนนี้รถไฟจะเข้าเขตสถานีเมืองเก๋อเอ่อร์มู่ มณฑลซิงไห่ เมืองนี้ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1960 มีประชากรประมาณ 5 หมื่นคน เป็นเมืองที่มีการผลิตเกลือทะเลสาบมากที่สุดของจีน
|
รถไฟแล่นผ่านเลียบริม ทะเลสาบชัวนา ซึ่งมีความสูงจากระดับน้ำทะเล 4,300 เมตร รถไฟจะแล่นผ่านทะเลสาบในระยะใกล้เป็นระยะเวลานานพอสมควร ท่านสามารถเก็บภาพความงดงามของทะเลสาบได้อย่างจุใจ ในช่วงเดือนสิงหาคม และกันยายน หญ้าริมน้ำสีแดงไปหมด ตัดกับสีน้ำเงินของน้ำ และสีขาวของหิมะบนยอดเขาริมทะเลสาบ บางครั้งอาจพบนกแปลกตาอันสวยงามเป็นฝูงๆ บินอยู่เหนือน้ำ ถึง เมืองตังโสง เมืองที่ตั้งอยู่ในทุ่งหญ้าทิเบต รอบๆ เมืองเต็มไปด้วยเขาหิมะ ถึง เมืองหยัง ปา จิ๋ง เป็นเมืองที่มีน้ำแร่ร้อนมากที่สุดของทิเบต ขณะนั่งบนรถไฟเห็นไอน้ำร้อนกำลังลอยขึ้นมาจากพื้นทั่วไป หลังจากรถไฟลอดออกจากอุโมงค์หยัง ปา จิ๋ง ซึ่งยาว 42.5 เมตร จากนั้นรถไฟจะแล่นข้ามสะพานแม่น้ำลาซา เพื่อรอดอุโมงค์ หลิ่ว อู๋ อุโมงค์แห่งแรกที่รถไฟสายนี้ต้องแล่นผ่าน
รถไฟจะแล่นช้าๆ ช่องเขาถังกู่ล่า สูง 5,072 เมตร ซึ่งเป็นประตูทางเข้า-ออกสู่ดินแดนทิเบตและเป็นจุดที่สูงที่สุดที่รถไฟสายนี้แล่นผ่าน รถไฟลงจากเขาถังกูล่ามายังทิศใต้ บริเวณเชิงเขาแห่งนี้เป็นทุ่งหญ้าเชียงถัง พื้นที่กว่า 6 แสนตารางกิโลเมตร ดูเหมือนผ้าฮาต๋าสีเขียวผืนหนึ่งถูกปูไว้บนที่ราบสูง รถไฟวิ่งท่ามกลางทะเล ดอกหญ้า ทุ่งมัสตาร์ด ขอบฟ้าสุดสายตาสองข้างทางรถไฟเป็นภาพแนวภูเขาหิมะติดๆ กันยืดยาวไปตามเส้นขอบฟ้า นอกจากนั้นยังมีทะเลสาบน้อยใหญ่ และน้ำพุร้อนอีกมากมาย กระจายอยู่ในทุ่งหญ้า ในช่วงเวลาเดือนกรกฎาคม ถึง สิงหาคม จะเห็นชาวทิเบตแข่งม้าบนทุ่งหญ้าแห่งนี้นานถึงครึ่งเดือน มีนักท่องเที่ยวมาจากทั่วโลกเพื่อชมงานแข่งม้า ณ ที่นี่
|

เส้นทางที่รถไฟวิ่งผ่าน

รถไฟวิ่ง ผ่าน ทุ่งหญ้าเชียงถัง
วิวทิวทัศน์ของภูเขาหิมะติด ๆ กันเรียงรายไปตามแนวเส้นทางรถไฟ

รถไฟผ่านบริเวณ ทะเลสาบนัมซัว (สูงจากระดับน้ำทะเล 4,800 เมตร พื้นน้ำกว้าง 400 ตารางกม.)
เป็นทะเลสาบน้ำจืดที่อยู่เหนือระดับน้ำทะเลสูงสุดของโลก เป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำสาละวิน
ทะเลสาบตั้งอยู่ในใจกลางทุ่งหญ้าเชียงถัง มีสัตว์ป่าหลากหลายชนิดวิ่งอยู่บริเวณทะเลสาบ
เช่น จามรี ลา ละมั่ง แพะเหลือง เสือดาวหิมะ ถ่ายรูปกับวิวทิวทัศน์สวยๆ ของทะเลสาป ทุ่งหญ้าและภูเขาหิมะ
|
รถไฟวิ่งผ่าน สวนอนุรักษ์สัตว์เขอ เข่อ ซี ลี่ เป็นสวนอนุรักษ์สัตว์ป่าที่มีพื้นที่กว้างที่สุด อยู่เหนือระดับน้ำทะเลสูงสุด และมีจำนวนสัตว์ป่ามากที่สุดของจีน มีเนื้อที่ 8.3 ตร.กม. สูง 4,800 เมตรขึ้นไปเหนือระดับน้ำทะเล อากาศหนาวตลอดทั้งปี อุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปี -4 องศา หนาวสุด -40 องศา มีลมพัดแรงตลอดปี (30 เมตรต่อวินาที) อากาศรุนแรงทำให้เป็นเขตที่ไม่มีผู้คนพักอาศัยอยู่เลย เรียกว่าเป็นขั้วโลกแห่งที่สาม แต่กลับกลายเป็นสวนที่อยู่ตามธรรมชาติของสัตว์ชนิดต่าง ๆ มากกว่า 230 ชนิด เพื่อไม่ให้ทำลายสิ่งแวดล้อมที่อยู่อาศัยของสัตว์ จึงจำเป็นต้องสร้างสะพานลอยขึ้นเหนือพื้นดิน เพื่อให้รถไฟวิ่ง สัตว์ต่างๆ จึงได้อาศัยอยู่ใต้สะพานซึ่งเป็นทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่แบบไร้ขอบเขตจำกัด รถไฟแล่นข้ามสะพานชิง สุย ยาว 11.7 กม. เพื่อข้ามแม่น้ำฉู่ หม่า เออร์ เป็นสะพานที่ยาวที่สุดของทางรถไฟสายยิ่งใหญ่แห่งนี้
ผ่าน หมู่บ้านอู่เต้าเหลียง (WUPAOLIANG) สูง 4,700 เมตร รอดอุโมงค์ลมไฟ เป็นอุโมงค์ที่อยู่เหนือระดับน้ำทะเลสูงสุดของโลก สูง 5,010 เมตร ยาว 1,338 เมตร พื้นดินของอุโมงค์ 80% เป็นดินน้ำแข็ง ใช้เวลา 10 เดือนจึงสร้างเสร็จ มีนักวิชาการทั้งหมดสามรุ่นได้เก็บข้อมูล ณ ที่นี่นานถึง 73 ปี เพื่อเป็นข้อมูลศึกษาความเป็นไปได้ในการสร้างทางรถไฟเข้าสู่เมืองลาซา ชมทุ่งหญ้าบนเขาสูง ผ่านแม่น้ำโทงเทียน ซึ่งเป็นแม่น้ำลือชื่อที่สุดในเรื่องไซอิ๋ว ในฉากตอนที่พระถังซำจั๋งเดินทางไปเชิญพระไตรปิฎกจากอินเดียได้เดินทางผ่านที่นี่ พระไตรปิฎกโดนปลายักษ์กินไปหมด ต่อมาหลังจากได้พระไตรปิฎกคืนกลับมาแล้วจึงต้องนำมาตากแห้งบนสองฝั่งของแม่น้ำสายนี้ เป็นแม่น้ำสายต้นกำเนิดและแม่น้ำแยงซีเกียง เขาถังกู่ล่า อันยิ่งใหญ่มโหฬาร ชมกลาเซียร์เจียงเกินตี๋หรู อยู่บนเขาเก๋อราตันตุง ยาว 14 กิโลเมตร กว้าง 2 กิโลเมตร ซึ่งเป็นธารน้ำแข็งใหญ่
รถไฟผ่านเขาหิมะ ยู่ จู (YU ZHU MTN. สูง 4,100 เมตร) เขาหิมะยู่จู เป็นที่ตั้งของยอดเขาคุนลุ้น ซึ่งสูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 6,178 เมตร แม้เดือนก.ค.(หน้าร้อนสุดของจีน)ก็ยังมองเห็นปรากฏการณ์หลากหลายที่เปลี่ยนแปลงจากแสงแดดส่องหิมะและธารน้ำแข็งที่อยู่บนเขา เมื่อเข้าสู่หน้าร้อน น้ำแข็งกับหิมะละลายกลายเป็นแหล่งเกิดของ น้ำพุคุนลุ้น และแม่น้ำ เก๋อเอ๋อร์มู่ ในช่วงหน้าหนาวที่หลังคาโลกเต็มไปด้วยหิมะ แต่เขาหิมะยู่จู สวยงาม กว่าเพื่อน จึงกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวดึงดูดสายตาของนักท่องเที่ยวทั่วโลก เทือกเขาเทวดาคุนลุ้น แห่งนี้นับเป็นกระดูกสันหลังของภูเขาทั้งหลายของประเทศจีน รวมความยาว 2,400 กม. กว้าง 70 กม. มีความสูงเฉลี่ย 5,000 เมตร ยอดเขาสูงสุดสูงถึง 7,719 เมตร จากระดับน้ำทะเล ในนิทานโบราณจีนมักจะเรียกเป็นชีพจรมังกร เป็นต้นกำเนิดของลัทธิเต๋า ชาวจีนจึงนับเป็นแหล่งเกิดความศิวิไล กว่า 5,000 ปีของประเทศจีน รอดอุโมงค์คุนลุ้นซึ่งยาวถึง 1,684 เมตร สูงจากระดับน้ำทะเล 4,648 เมตร ช่วงหนาวสุดติดลบ 30 องศา เป็นอุโมงค์ที่ยาวที่สุดในเขตดินแดนน้ำแข็ง
เส้นทางรถไฟสายชิงไห่-ทิเบต มีความยาวทั้งสิ้น 1,956km (1,215 miles) เป็นรถไฟสายแรกที่สร้างเชื่อมที่ราบสูงทิเบตเข้ากับแผ่นดินอื่นๆ เส้นทางนี้ผ่านช่องเขาถังกู่ลาที่อยู่สูงถึง 5,072m (16,640 feet) จากระดับน้ำทะเล ซึ่งถือว่าเป็นเส้นทางรถไฟที่สูงที่สุดในโลก และผ่านอุโมงค์เฟิงหัวซานที่ยาว 1,339 m ซึ่งถือว่าเป็นอุโมงค์รถไฟที่สูงที่สุดในโลกอยู่ที่ 4,905m เหนือระดับน้ำทะเล วิวทิวทัศน์สองข้างทางเป็นทุ่งหญ้าแบบที่ราบสูง หญ้าเป็นหญ้า พันธุ์แคระที่ปกคลุมเลียบไปกับพื้นดิน มีจามรีและฝูงแกะยืนเล็มหญ้าอยู่ริมทาง รถไฟจะวิ่งผ่านภูเขาหิมะ ทะเลสาบ หมู่บ้านชาวทิเบต สวยงามมาก (เขาเล่ากันมาแบบนั้น ไปดูด้วยกันจะได้รู้ว่าจริงไหม)
ผ่าน ทะเลสาบเกลือฉา เออร์ ฮั่น เป็นทะเลสาบน้ำเกลือที่ใหญ่อันดับสองของโลกขบวนรถไฟเริ่มเคลื่อนเข้าสู่สถานีเก๋อเอ๋อร์มู่
สถานีเก๋อเอ๋อร์มู่ เมืองเก๋อเอ๋อร์มู่ เป็นไข่มุกดวงใหม่แห่งหลังคาโลก ห่างจากเมืองซีหนิง 800 กม. อยู่บนที่ราบสูงทิเบต-ชิงไห่และเชิงเขาคุนลุ้น เป็นเมืองที่มีพื้นที่ปกครองมากที่สุดของโลก มีประวัติศาสตร์ ยาวนานมากถึง 2,800 กว่าปี ตัวเมืองสร้างขึ้นในปี 1953 ตอนที่ทหารเหมา เจ๋อ ตุง สร้างทางหลวงเพื่อขนส่งสิงค้าให้เข้าทิเบตได้ง่ายขึ้น เป็นเมืองใหญ่อันดับสามของหลังคาโลก รองลงมาจากลาซาและซีหนิง
ขบวนรถไฟแล่นเข้าเมืองซีหนิง โดยจะวิ่งผ่าน ทะเลสาบชิงไห่ ทะเลสาบชิงไห่ หรือ ชิงไห่หู (Qinghai Lake) เป็นทะเลสาบน้ำเค็มใหญ่ที่สุดของประเทศจีน อยู่ในมณฑลชิงไห่ สหประชาชาติจัดให้เป็น " พื้นที่ชุ่มน้ำแหล่งสำคัญของโลก" มีจุดเด่นคือมีน้ำไหลเข้าอย่างเดียว โดยมีพื้นที่ทั้งหมด 4,500 ตารางกิโลเมตร อยู่เหนือระดับน้ำทะเล 3,196 เมตร มีความยาวจากตะวันออกถึงตะวันตก 106 กิโลเมตร และมีความกว้างจากใต้ถึงเหนือ 63 กิโลเมตร น้ำลึกโดยเฉลี่ย 19 เมตร และลึกที่สุด 39 เมตร โดยมีภูเขาโอบล้อมอยู่ทุกทิศทาง
รถไฟพักจอดที่เมืองซีหนิง
กินอาหารบนรถไฟ ช่วยกันหาเรื่องคุย รถไฟวิ่งไปเรื่อยๆ เราก็คุยกันไปเรื่อยๆ ออกไปเล่นไพ่แข่งกับคนจีนก็ได้ (อยากรู้ไทยกับจีนใครจะเซียนกว่า)
หลังจากสถานีซีหนิง รถจะแล่นเข้าสู่เข้าเมือง นั่งชมวิวเมืองจีนกันไปเรื่อยๆ ค่ะ
|
วันที่ 13 วันอาทิตย์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2555
|
เส้นทาง- เฉิงตู (Chengdu) - กรุงเทพฯ
ที่พัก- บ้านใครบ้านมัน
การเดินทาง- บิน การบินไทย
08.00 น. เดินทางถึงสถานีรถไฟเฉิงตู ถ้ารถไฟตรงเวลา เราจะไปเที่ยวในเมืองเฉิงตูกัน
คนขับรถชาวจีนมารอรับ ขึ้นรถส่วนตัวไปดูหมีที่ Chengdu Panda Base ศูนย์อนุรักษ์หมีแพนด้าที่เมืองเฉิงตู ประเทศจีน ที่นอกจากจะเป็นที่วิจัยและทำการศึกษาเพื่ออนุรักษ์หมีแพนด้าแล้ว ยังเป็นศูนย์การเรียนรู้เพาะพันธุ์หมีแพนด้าอีกด้วย ครอบครัวหมีแพนด้าที่อยู่ที่ศูนย์อนุรักษ์นี้มีกว่า 83 ตัว ซึ่งทางศูนย์จะมีทัวร์เพื่อการศึกษาหมีแพนด้าให้นักท่องเที่ยวได้เข้าเยี่ยมชมความน่ารักได้อย่างใกล้ชิด
เหตุผลที่เราต้องไปดูหมีแพนด้าที่เฉิงตู เพราะในดินแดนจีนอันกว้างใหญ่ไพศาลนั้น ที่เฉิงตูถือเป็นศูนย์อนุรักษ์แพนด้าที่ใหญ่ที่สุดของจีน หลินฮุ่ยกับช่วงช่วงก็มาจากเมืองนี้ และเหตุผลที่สำคัญที่สุดคือ ชอบหมีแพนด้าค่ะ ชอบมากที่สุด ชอบเองเป็นการส่วนตัว ใฝ่ฝันมานานแล้ว...
(หมายเหตุ-การดูหมีแพนด้า ค่าบัตรเข้าชมและค่าอุ้มหมี ไม่รวมอยู่ในค่าทัวร์ ถ้าได้ไปเราจะไปเรียกเก็บเงินกันตรงนั้นค่ะ)
เมื่อมาถึงศูนย์อนุรักษ์หมีแพนด้าที่เฉิงตูแล้ว จะต้องซื้อบัตรเข้าชม โดยราคาตั๋วมีดังนี้ (ราคาโดยประมาณที่เช็คมาล่าสุด ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงได้นะคะ)
ราคา 58 RMB (หยวน)
เมื่อผ่านประตูเข้ามาจะมีรถกอล์ฟมารับเพื่อพาไปดูหมีแพนด้า บรรยากาศสองข้างทางเต็มไปด้วยป่าไผ่เสียดสีกันเมื่อต้องลม ใช้เวลาเดินทางเข้าไปประมาณ 8-10 นาทีเท่านั้น เมื่อรถจอดถึงจุดเที่ยวชมก็ต้องเดินเท้าเข้าไป จะเป็นทางเดินที่นำท่านเข้าไปเยี่ยมชมเจ้าแพนด้า บริเวณที่แพนด้าอยู่นั้น มีจำนวนอยู่หลายสิบตัว เจ้าหน้าที่จะจัดบริเวณให้แพนด้าอยู่ รอบๆ จะเป็นบ่อลึกประมาณ 2 เมตรกั้นไว้เพื่อไม่ให้แพนด้าออกมา แพนด้าก็จะอยู่ภายในบริเวณของมัน บ้างก็ปีนป่ายต้นไม้ บ้างก็เดินเล่น หรืออยู่กันเป็นคู่ๆ นอกจากบริเวณนี้แล้ว ไกด์จะพาไปเที่ยวชมลูกแพนด้าเกิดใหม่ ซึ่งส่วนนี้เราจะได้ใกล้ชิดกับแพนด้ามากๆ สามารถถ่ายรูปได้แต่ห้ามใช้แฟลชนะคะ เพราะจะเป็นการรบกวนแพนด้าได้ ส่วนถ้าใครจะอุ้มนั้นจะต้องเสียค่าใช้จ่ายต่างหาก คนละประมาณ 1,000 หยวน
11.00 น. เดินทางต่อไปยังสนามบินเฉิงตูกัน
12.00 น. ถึงสนามบินเฉิงตูซวงหลิว (ท่าอากาศยานแห่งนี้เป็นท่าอากาศยานที่วุ่นวายที่สุดในภาคตะวันตกของจีน มีผู้โดยสารมาใช้บริการทั้งสิ้นกว่า 22,637,762 คน) เช็คอิน โหลดสัมภาระ และผ่านกระบวนการตรวจคนเข้าเมืองเรียบร้อย รอเวลาขึ้นเครื่องกลับบ้านกัน
15.30 น. ออกเดินทางสู่สุวรรณภูมิ โดยสายการบินไทย TG619 (15.30-17.35)
17.35 น. ถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ประเทศไทย โดยสวัสดิภาพ เก็บเรื่องที่ไปเที่ยวเอาไปคุยให้คนอื่นฟังได้อีกเป็นสิบปี
|

|
หมายเหตุ:
โปรแกรมอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสมของช่วงเวลาและสถานการณ์เฉพาะ
|

|
คำเตือน:
ห้ามพกรูป "องค์ดาไลลามะ" หรือหนังสือใดๆก็ตามที่มีรูปขององค์ดาไลลามะ ติดตัวไปอย่างเด็ดขาด กฏหมายทางจีนเข้มมาก "ติดคุก" ยกแก๊งค์ไม่ได้กลับบ้านกันเลยทีเดียว
ก่อนตัดสินใจ:
ทริปนี้เป็นทริปสำรวจของเรานะคะ พวกเราก็ไม่เคยไปเหมือนกัน ไปกันแบบเรียบง่าย ประหยัดงบที่สุดเท่าที่จะทำได้ โรงแรมที่พักเป็นระดับ Budget ไม่ใช่โรงแรมมาตรฐานที่ดีนัก ค่าใช้จ่ายบางตัวไม่ได้รวมไว้ในค่าทัวร์ อย่างเช่น ค่าเข้าชมหมีแพนด้า ค่ารถของอุทยานฯเข้า EBC เอเวอร์เรสต์เบสแค้มป์ ค่าตั๋วเครื่องบิน “Mountain Flight” ที่เนปาล
ค่าอาหารกลางวัน-อาหารเย็น และน้ำดื่ม เราก็ไม่ได้รวมไว้นะคะ ไปกินไปหารกันที่โน่นเลย
"ไม่ได้ไปลำบากมาก แต่ก็ไม่ได้สะดวกสบายนัก" ก่อนชวนใครกรุณาอธิบายให้เค้าเข้าใจก่อนด้วยค่ะ
กิจกรรมพิเศษ:
เช้าตรู่ของทุกวันที่อยู่ในกาฐมัณฑุ เลือกวันได้ตามสะดวกสำหรับท่านที่สนใจ "Mountain Flight" นั่งเครื่องบินชมวิวยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก Mt. Everest (8,848 m asl) ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. มีหน้าต่างให้ชมวิวเป็นของตนเอง ที่จะทำให้ทุกคนได้สัมผัสภูเขาที่เคยได้ ยินแต่ชื่อ ถ่ายรูปให้เต็มที่ เป็นสุดยอด ของความประทับใจ คุ้มค่ากับการที่อุตส่าห์ลางาน เสียเงินเสียทองมาถึงเนปาล (จ่ายค่าตั๋วเพิ่ม 160 – 200 US) แต่จะว่าไปเราก็เห็นมาเต็มอิ่มแล้วที่ฝั่งจีน แต่เผื่อใครอยากเห็นทางฝั่งเนปาลบ้างค่ะ
(หมายเหตุ- ค่าเครื่อง “Mountain Flight” ไม่รวมอยู่ในค่าทัวร์ บางคนอาจอยากนั่งเครื่องชม Everest บางคนก็ไม่อยาก ใครจะไปเราจะเรียกเก็บเงินกันตรงนั้นค่ะ)
การดูแลตนเองเมื่ออยู่ในที่สูง:
1. ดื่มน้ำเยอะๆ ดื่มตลอดเวลา ดื่มให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
2. พักให้อาการดีขึ้นก่อนจึงขึ้นต่อ
3. หากกินยาไม่ได้ผล ควรกลับลงไปยังที่ราบ
4. หากเริ่มมีอาการแรกของสมองบวมควรลงสู่ที่ราบ
การป้องกันและรักษา:
* ไม่ควรขึ้นที่สูงเกิน 600 เมตรใน 24 ชั่วโมง
* ควรพักให้ร่างกายปรับตัวเสียก่อน หากมีอาการมากให้กลับลงสู่พื้นราบ
* รีบสูด O2 เมื่อเริ่มมีอาการ
* กินยาที่ป้องกันและลดอาการที่ได้ผลคือ Azetazolamide (DIAMOX) และ Dexamethasone
* กินยาแก้ปวดศีรษะ ที่ได้ผลคือ Aspirin และ Ibuprofen
* กินยาแก้อาเจียน
* ไม่ควรกินยานอนหลับที่กดการหายใจ
|
คำแนะนำเรื่องการเตรียมตัว-
โทรเข้ามาสอบถามและแจ้ง email address ไว้นะคะ เราจะส่งรายละเอียดคำแนะนำทั้งหมด ให้ทางอีเมลล์ค่ะ
หมายเลข 02-4054561 , 08-9811-9139 , 08-1692-8233 ขอบคุณค่ะ
|

|
|
  
|

|
ค่าเดินทาง
1.
|
ค่า "ทริปเดินทาง"
|
|
44,000-
|
บาท
|
|
(ไม่รวม "ค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าธรรมเนียมน้ำมัน และภาษีสนามบิน")
|
|
|
|
|
|
|
|
|
2.
|
ค่า "ตั๋วเครื่องบิน รวมธรรมเนียมน้ำมัน และภาษีสนามบิน" *
|
|
18,000-
|
บาท
|
|
(* ราคานี้เป็นราคาโดยประมาณ ตั๋วการบินไทย เป็นตั๋วปกติ ไม่มีโปรโมชั่น
ซึ่งราคาอาจเปลี่ยนแปลง ณ วันที่ออกตั๋วเครื่องบิน กรุณาโทรมาสอบถามและเช็คตั๋วเครื่องบินก่อนนะคะ ถ้าตั๋วถูกกว่าราคานี้เราจะลดราคาให้ตามราคาที่ออกตั๋วจริง
หรือใครสะดวกจะจองตั๋วเองก็ได้ค่ะ)
|
|
|
|
|
.. |
|
|
|
|
รวม 
|
|
62,000-
|
บาท
|
|
|
|
|
|
|
หมายเหตุ-
|
|
|
|
|
จองตั๋วเครื่องบินเอง ลด 18,000 บาท
|
|
|
|
|
..
|
|
|
|
|
ราคานี้รวม
|
|
|
|
|
ค่าตั๋วเครื่องบินสายการบินไทย กรุงเทพ-กาฎมัณฑุ//เฉิงตู-กรุงเทพ
|
|
|
|
|
ค่าธรรมเนียมน้ำมันและภาษีสนามบิน
|
|
|
|
|
ค่าตั๋วรถไฟ ลาซา-เฉิงตู
|
|
|
|
|
ค่าวีซ่าจีน-ทิเบต-เนปาล
|
|
|
|
|
ค่าบัตรเข้าชมสถานที่ต่างๆ เฉพาะตามที่ระบุในโปรแกรม
|
|
|
|
|
ที่พัก โรงแรมระดับ Budget ห้องละ 2-3 ท่าน
|
|
|
|
|
(ยกเว้นที่ EBC เอเวอร์เรสต์เบสแค้มป์ เป็น Guest House ,เต้นท์หรือแค้มป์แบบพักรวม) |
|
|
|
|
ค่ารถตลอดเส้นทาง
|
|
|
|
|
ค่าประกันอุบัติเหตุวงเงิน 2,000,000 บาท
|
|
|
|
|
..
|
|
|
|
|
ราคานี้ไม่รวม
|
|
|
|
|
ค่าอาหาร กลางวัน-เย็น (ไปกิน ไปแชร์ กันที่โน่นค่ะ)
|
|
|
|
|
ค่าน้ำดื่ม (ซื้อกินกันเองนะคะ)
|
|
|
|
|
ค่ารถอุทยานฯ เข้า EBC เอเวอร์เรสต์เบสแค้มป์
|
|
|
|
|
ค่าบัตรเข้าชมหมีแพนด้าและค่าอุ้มหมี
|
|
|
|
|
ค่าเครื่องบิน “Mountain Flight" |
|
|
|
|
ค่าบัตรเข้าชมสถานที่ต่างๆ (นอกเหนือจากที่ระบุไว้ในโปรแกรม)
|
|
|
|
|
ค่าทิปไกด์ คนขับรถ , เด็กรถ , เด็กยกกระเป๋า และทิปอื่นๆ
|
|
|
|
|
ค่ากล้องถ่ายรูป และค่ากล้องวีดีโอ
|
|
|
|
|
ค่าใช้จ่ายอื่นๆ นอกเหนือจากที่ระบุไว้ในรายการ
|
|

|
วิธีการสมัคร
1. แจ้งเรื่องไว้ในติดต่อสอบถามด้านล่างของบนความนี้ พร้อมเบอร์ติดต่อกลับด้วยนะคะ
หรือ โทรเข้ามาพูดคุยสอบถามได้เลยค่ะที่หมายเลข 0-2405-4561
มือถือ 08-7699-7475 (DTAC) , 08-1692-8233 (DTAC), 08-9811-9139(AIS),
วันจันทร์-ศุกร์ ตั้งแต่ 09.00 - 18.00 น.
2. ส่งแฟกซ์ ใบจองทริป ไปที่หมายเลข 0-2405-4560
โดยใช้แบบฟอร์ม ใบจองทริป นี้ คลิกที่นี่ PDF / คลิกที่นี่ WORD ได้เลยค่ะ
3. ส่งแฟกซ์ สลิปหรือสำเนาใบโอนเงิน ไปที่หมายเลข 0-2405-4560
หรือส่งอีเมล ไปที่ info@wanramtang.com
|
|
การชำระเงิน
1) จ่ายค่ามัดจำทริป จำนวน 5,000 บาท ทันทีที่จอง
2) จ่ายงวดที่ 1 จำนวน 27,000 บาท ภายในวันที่ 11 กรกฎาคม 2555
3) จ่ายส่วนที่เหลือ จำนวน 30,000 บาท ภายในวันที่ 11 สิงหาคม 2555
โอนเข้าบัญชีชื่อ.. นางสาวชนิตา กัลยาณมิตร
ธนาคารกสิกรไทย สาขา เซ็นทรัล พระรามที่ 2
บัญชีออมทรัพย์ เลขที่ 743-2-71576-5
|

|
เงื่อนไขการให้บริการสำหรับทริป
จองล่วงหน้าตามช่วงเวลาที่กำหนด
ชำระเงินตามเงื่อนไขข้างต้น
ยกเลิกการเดินทาง เก็บค่าใช้จ่ายตามจริง และ/หรือ
ยกเลิกก่อนเดินทางน้อยกว่า 15 วัน เก็บค่าใช้จ่ายท่านละ 5,000 บาท
ยกเลิกก่อนเดินทางน้อยกว่า 10 วัน เก็บค่าใช้จ่ายท่านละ 50% ของราคาทริป
ยกเลิกก่อนเดินทางน้อยกว่า 5 วัน เก็บค่าใช้จ่ายเต็มจำนวน
ค่าบริการนำเที่ยว มิได้คิดเป็นการเหมา แต่คิดสินจ้างเฉพาะค่านำเที่ยวและค่าบริการเท่านั้น ค่าใช้จ่ายที่นักท่องเที่ยว ต้องจ่ายเพิ่มขึ้น เช่น ค่าวีซ่า ค่าประกัน ค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าโรงแรมที่พัก ค่าอาหาร ที่ผู้จัดนำเที่ยวได้จ่ายทดรองให้นักท่องเที่ยวแต่ละคนไปก่อน โดยจ่ายไปจริงเท่าใดก็จะเรียกเก็บคืนจากนักท่องเที่ยวเท่านั้น และถ้ามีส่วนลดใดๆ จากผู้รับค่าใช้จ่ายดังกล่าว ก็จะคืนส่วนลดนั้นให้แก่นักท่องเที่ยวทั้งหมด
เมื่อท่านออกเดินทางกับคณะแล้ว ถ้าท่านงดการใช้บริการรายการใดรายการหนึ่ง อาทิ ไม่เที่ยวบางรายการ, ไม่ทานอาหารบางมื้อ หรือไม่เดินทางพร้อมคณะ ถือว่าท่านสละสิทธิ์ ไม่อาจเรียกร้องค่าบริการและเงินมัดจำคืนได้ ไม่ว่ากรณีใดๆ ทั้งสิ้น
กรณีที่การตรวจคนเข้าเมืองทั้งที่กรุงเทพฯ และในต่างประเทศ ปฏิเสธมิให้เดินทางออกหรือเข้าประเทศในรายการเดินทาง หรือเกิดกรณีความล่าช้าจากสายการบิน, การประท้วง, การนัดหยุดงาน, การก่อจลาจล ทางเราขอสงวนสิทธิ์ที่จะไม่คืนค่าบริการไม่ว่ากรณีใดๆ ทั้งสิ้น
เมื่อท่านตกลงชำระเงิน ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน ถือว่าท่านได้ยอมรับเงื่อนไขข้อตกลงต่างๆ ที่ได้ระบุไว้แล้วทั้งหมด
|

|
การส่งเล่มพาสปอร์ต เพื่อขอวีซ่า
1. เล่มหนังสือเดินทาง (พาสปอร์ต) ที่มีอายุเหลืออยู่ไม่น้อยกว่า 6 เดือน
(ถ้าอายุไม่ถึง 6 เดือน จะไม่สามารถขอวีซ่าอินเดียได้ค่ะ กรุณาทำพาสปอร์ตเล่มใหม่ก่อนนะคะ)
2. รูปถ่าย จำนวน 3 ใบ สำหรับการขอวีซ่าเนปาล และ จีน
รูปถ่าย ต้องเป็นรูปสี บนพื้นหลังสีขาว และต้องมีขนาด 2 นิ้ว เท่านั้นค่ะ
3. สำเนาบัตรประชาชน 1 ชุด (*ต้องเซ็นต์ชื่อรับรอง ลายเซ็นต์เหมือนที่เซ็นต์ในเล่มพาสปอร์ต)
4. สำเนาทะเบียนบ้าน 1 ชุด (ไม่จำเป็นต้องเซ็นต์รับรอง)
5. กรอกแบบฟอร์ม คลิก ตามที่แนบมานี้ >> แบบฟอร์ม
กำหนดวันส่งเอกสาร- ส่งเล่มพาสปอร์ตภายใน วันที่ 15 สิงหาคม 2555
ระบุชื่อทริปและวันที่เดินทาง หน้าซองด้วยค่ะ
ส่งมาที่ น.ส. ชนิตา กัลยาณมิตร
สำนักงาน วันแรมทาง
1/60 ซ.อนามัยงามเจริญ 12 แขวงท่าข้าม
เขตบางขุนเทียน กรุงเทพฯ 10150
เรียนให้ทราบว่า- ปกติเราจะไม่ส่งเล่มพาสปอร์ตคืนให้นะคะ เราจะถือไปให้ทุกคนในวันที่เดินทางเลย
แต่ ท่านใดที่ต้องการเล่มพาสปอร์ตคืนก่อนการเดินทาง กรุณาแจ้งความประสงค์ และระบุที่อยู่สำหรับส่งพาสปอร์ตคืนให้ชัดเจนด้วยค่ะ เราจะส่งคืนให้ทาง ems ค่ะ
|

|
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
|
ที่อยู่
|
"บ้านวันแรมทาง"
1/60 ซ.อนามัยงามเจริญ 12 แขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน กรุงเทพฯ 10150
แผนที่ "บ้านวันแรมทาง" << คลิกที่นี่ค่ะ
|
โทรศัพท์ (สำนักงาน)
แฟกซ์ (สำนักงาน)
มือถือ (ปลา)
มือถือ (นุ้ย)
มือถือ (สำนักงาน)
|
0-2405-4561
0-2405-4560
08-9811-9139 (AIS)
08-1692-8233 (DTAC)
08-7699-7475 (DTAC)
|
Email
|
info@wanramtang.com
|
วันทำงาน
เวลา
|
วันจันทร์-วันศุกร์
09.00- 18.00 น.
|
ติดต่อ
|
เวลางาน: โทรเข้าสำนักงาน ติดต่อใครก็ได้ค่ะ
นอกเวลางาน: โทรมือถือ "ปลา" หรือ "นุ้ย" ได้เลยนะคะ
โทรหาได้ วันจันทร์-วันเสาร์ "ทุกเวลาแต่อย่าดึกนัก"
ขอความกรุณา อย่าโทรวันอาทิตย์ วันหยุดพักผ่อนค่ะ
ถ้าไม่รับสายหรือโทรไม่ติด แสดงว่าอยู่อินเดีย กรุณาส่งเป็นข้อความ sms
ให้โทรกลับนะคะ (กรุณาอย่าฝากข้อความเสียง เพราะจะเปิดฟังไม่ได้ค่ะ)
|
หรือ คลิกไปที่ >>
|

|
|

|


ถ้าสั่งพิมพ์ไม่ได้ กรุณาโทรแจ้ง 02-405-4561, 08-1692-8233
หรือส่ง email แจ้งขอโปรแกรมได้ที่ info@wanramtang.com ขอบคุณค่ะ
วันนี้ลากันไปเท่านี้ แล้วเตรียมตัวจองทริปหน้า ไปเที่ยวกันใหม่กับวันแรมถึก สวัสดีค่ะ
|