บันทึกคนนำทาง ตอน : พาไปนวดที่ Kelara
ReadyPlanet.com
dot dot
พาไปนวดที่ Kelara article
           
 เรื่องโดย:  ชนิตา กัลยาณมิตร
ภาพโดย: สาริศา ชาวบ้านเกาะ
           
บันทึกคนนำทาง
ตอน:    ไปนวดกันที่ Kerala
             
วันหนึ่งของการเดินทาง ในช่วงเดือนมีนาคม พ.ศ. 2562

ว่าด้วยเรื่องการนวดน้ำมัน ที่ Kerala ประเทศอินเดีย
  
“Traditional Ayuraveda Treatment"

แบบมาถึงแล้วต้องลอง จะพลาดได้ไงกัน
      
 
แรกเริ่ม อยากจะไปลองนวดที่โรงแรมที่พัก เพราะมันดูโอเคกว่าที่อื่นๆ ไปดูห้องสปา สำรวจห้องและเตียงนวดแล้วดูดีนะ สะอาดสะอ้าน หมอนวดก็ดูสวยดี ดูแล้วพอวางใจได้ ตัดสินใจว่าลองนวดดูสักที แต่ตอนไปดูที่สปา มันก็ค่ำแล้ว เลยคุยกันว่าไปนอนก่อนดีกว่า ค่อยมานวดตอนเช้า ที่ไหนได้ตอนเช้าคิวเต็ม อดนวดเลย (ประมาทไปหน่อย ลืมจอง)
   
  
ทีนี้มาของจริงล่ะ ใจมันก็ยังวนเวียนอยากลองนวดดูสักที วันนี้ต้องเช็คเอ้าท์จากโรงแรมไปล่องเรือกันแล้ว เลยลองถามคนเรือว่า “มีนวดมั้ย” ขาดคำพ่อคุณก็เอาโบว์ชัวร์มาให้ ดูๆแล้วก็เอาวะ ไปลองนวดกัน !!

บอกคนขับเรือว่า เราจะนวดล่ะ แวะพาไปโรงนวดได้เลย

ล่องเรือมาได้สักพักใหญ่ๆ เรือก็จอดเทียบที่ริมตลิ่ง  
      
  
ตรงหน้าของพวกเรา มีอาคารชั้นเดียว หลังคามุมกระเบื้องแบบโบราณ ตัวอาคารสีหม่นๆ ดูซอมซ่อมากๆหลังหนึ่ง ใช่ นั่นแหล่ะ โรงนวดของเรา 

"ศานติคีรี Santhigiri Ayurveda Heritage" โรงนวดหรือที่คนที่นั่นนิยมเรียกกันว่า อาศรม ดูเก่าแก่ สะอาดตามสภาพ
  

ด้านหน้าโรงนวดนั้นชวนสยอง ด้วยภาพพรีเซ็นเตอร์แขกหนวดเฟิ้มนอนนวดอยู่ เรามองหน้ากันบนเรือ ขายังไม่ยอมก้าวขึ้นฝั่งตามที่คนขับเรือพยายามร้องเรียก
   
ป้ายโฆษณานี่มันทำให้ตกใจกลัวเลยนะ หนวดเฟิ้มเชียว!!
แต่เขาบอกว่า ชายนวดชาย หญิงนวดหญิง !!! 
                
อึดใจใหญ่ๆนั่นล่ะถึงได้ตัดสินใจ ไหนๆก็มาแล้ว เข้าไปดูข้างในสักหน่อยละกัน เอาวะ ลองดู
       

ข้างในอาคารเล็กๆนั้น มืดทึม ร้อนอบอ้าว แสงลอดเข้ามาสลัวๆ มีโต๊ะวางโบว์ชัวร์ และเก้าอี้ไม้ยาวๆให้นั่งรอ มีสมุนไพร ยานวด ปฏิทินภาษามาลายาลัม (Malayalam) ภาษาท้องถิ่นแขวนไว้

พ่อหนุ่มคนหนึ่งที่ดูจะเป็นคนขายมากกว่าหมอนวด มาพูดคุยต้อนรับ และแนะนำลักษณะการนวดแบบต่างๆ พร้อมแจ้งราคา เราก็เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง ค่อนข้างจะงงใส่เสียมากกว่า..

ค่านวดที่นี่ ถูกกว่าตามโรงแรมใหญ่ๆเกือบเท่าตัว ก็แบบชาวบ้านท้องถิ่นล่ะนะ ของดี OTOP ก็แบบนี้ล่ะ
  
คำถามแรกที่เราถาม กลายเป็นเรื่องอื่น ที่ดูสำคัญกว่า
  
“คนนวดเป็นผู้หญิงหรือเปล่า”
 
“ขอดูห้องนวดหน่อยสิ”
 
     
หมอนวดเป็นสาวน้อยตัวดำ ผอมเกร็ง ผิวมันขลับอย่างนิล ยิ้มสวย ฟันขาวจั๊วะ เดินออกมาจากห้องนวดมืดๆ ทักทายพวกเราเป็นภาษาอังกฤษ ชัดถ้อยชัดคำ แล้วพาไปเดินดูห้องนวดที่เราอยากเห็นเป็นนักหนา
    
  
 
         ขอใช้ภาพประกอบ (บางภาพ) จาก Google นะคะ   
         เนื่องจากไม่มีภาพตัวเองตอนนวด  
         และเหตุการณ์จริง มันก็ไม่ได้สวยงามอย่างในภาพซะด้วยสิ ^^
  
  

ในที่สุด พวกเราตัดสินใจเลือกนวดแบบ
 
SIRODHARA (including Body Massage)
   
60 นาที ราคา 3000 รูปี
  
Sirodahara เป็นชื่อสมุนไพรชนิดนึง
 
การนวดแบบนี้จะใช้ น้ำมันที่ผสมยาสมุนไพรไว้แล้ว เทลงบนหน้าผากด้วยวิธีพิเศษ เหมาะกับคนที่มีอาการเครียดและนอนไม่หลับ โดยจะใช้น้ำมันสมุนไพรอุ่นๆราดไปทั่วร่างกาย ดีต่อความผิดปกติของระบบประสาท กล้ามเนื้ออ่อนแรง ข้อต่อ ลดอาการปวดเมื่อยตามแขนขา

ฟังสรรพคุณแล้ว เอาอันนี้ล่ะวะ ดูเหมาะกับเราดี
ตกลงกันเสร็จ ก็ได้เวลานวด +++ !!!
       
ลืมบอก เราไปกันสามคน สาวสวยสามนาง

พี่ๆตัดสินใจนวดกันแค่ 2 คน น้องเล็กสละสิทธิ์ บอกว่าขอนั่งรอพี่ๆดีกว่า
 

ห้องนวด แยกกัน คนละห้อง ประตูทางเข้าแยกไปคนละทาง แบบคนนึงเดินไปเข้าประตูทางขวา อีกคนไปเข้าประตูทางซ้าย เปิดประตูเข้าไปเป็นห้องที่มืดๆมาก พอเข้าห้องได้ น้องหมอนวดก็ปิดประตู มันมืดสนิท มองไม่เห็นอะไรในห้องเลย ไอ้เราก็นึกว่า ห้องมันมืดเดี๋ยวเปิดไฟก็สว่าง ที่ไหนได้ น้องหมอนวดบอกว่า อ่า ไฟดับ !! อ้าว เอาแล้วไง
 
ทันใดนั้น เธอก็เดินไปที่หน้าต่างบานเล็กๆบานเดียวในห้อง แล้วถามว่า “พี่คะ หนูขอเปิดหน้าต่างแง้มๆไว้ได้มั้ย?” เอิ่ม.. ได้มั้ง มองออกไปนอกหน้าต่าง มองเห็นสวนมะพร้าว สวนมะม่วง ดูแล้วคงไม่มีคนมาส่อง มารู้ทีหลังจากห้องนวดข้างๆว่า “แก.. มันไม่ถามฉันเลย มันเปิดหน้าต่างห้องฉันเต็มที่เลย 555” เออ.. เราโชคดีกว่าสินะ

แต่ที่สุดของความพีคคือ น้องเล็กที่เฝ้ารอพี่ๆ มาเล่าต่อหลังการนวดว่า “คนขับเรือมันพากันไปเก็บมะม่วงในสวนอ่ะพี่” ตึ่งๆ !! ขอจบเรื่องหน้าต่าง เพียงเท่านี้ ...

หลังจากนำแสงธรรมชาติเข้ามาในห้องได้แล้ว เราก็เห็นว่า ห้องนวดสองห้องมันติดกัน มีทางเดินเล็กๆเชื่อมถึงกัน ระหว่างห้องทั้งสองห้องมีห้องน้ำเล็กๆอยู่ตรงกลาง ทั้งสองห้องส่งเสียงคุยกันได้สบายๆ พอมองเห็นกันได้ภายใต้แสงสลัวๆนั่น
           
 
เตียงนวดเป็นเตียงไม้เก่าๆ ขัดมันวับ ตั้งอยู่ตรงกลางห้อง เตียงค่อนข้างสูง เวลาขึ้นเตียงจะมีบันไดไม้ให้ไต่ขึ้นไปสักสองขั้น อันนี้ที่จริง ควรเรียกเตียงนี้ว่าคอกไม้จะดีกว่า ขนาดเตียงพอให้นอนได้หนึ่งคน ขอบเตียงยกระดับเป็นคอกไม้สูงขึ้นมาสัก 10 เซนติเมตร น่าจะมีขอบไว้กันน้ำมันหกเลอะเทอะ หัวเตียงโค้งให้วางแขนได้สบายๆเวลานอนคว่ำ มีรูเจาะอยู่ตรงหัวเตียง ให้น้ำมันไหลลงไปด้านล่าง
 
โต๊ะนวดเป็นแบบนี้เลย เตียงไม้ขัดมันวับ
ขึ้นไปนั่งแล้วลื่นตรูด ปื๊ดๆมาก

   
ได้เวลาล่ะนะ น้องหมอนวดบอกว่า “ถอดเสื้อผ้าได้เลยค่ะ” “ถอดหมดเลยเหรอ?” “ถอดหมดเลยค่ะ” ว่าแล้วก็ส่งเตี่ยวมาให้ 1 ชิ้น มันเป็นเหมือนกระดาษสาบางๆ ทำมาในลักษณะคล้ายผ้าเตี่ยว นุ่งรัดแทนกางเกงใน พอให้ปิดของสงวนได้สบายๆ “ใส่นี่ไว้เลยค่ะ” แล้วน้องก็ช่วยใส่ให้ด้วย หลังจากที่ช่วยถอดเสื้อผ้า คือน้องช่วยตลอดทุกขั้นตอนจริงๆ ช่วยกระทั่งตอนถอดเสื้อชั้นใน  (เอ่อ เล่าละเอียดไปหรือเปล่าวะ)
 
หลังจากจัดการให้พี่ใส่เตี่ยวกระดาษชิ้นนั้นแล้ว น้องหมอนวดก็พาร่างอันเปลือยเปล่าของพี่ มานั่งเก้าอี้ไม้ตัวเล็กๆข้างเตียง (ใช่ค่ะ หน้าต่างบานนั้น ยังคงเปิดอยู่ และ ก็พอจะมองเห็นเตียงเพื่อนในห้องข้างๆด้วย เรามองเห็นกันแว๊บๆค่ะ)
    
“โอม...” แล้วนางก็ว่าคาถา สวดมนต์ เป็นท่วงทำนอง เสียงดังฟังชัด ไพเราะเสนาะหูมาก แป๊บนึง ระหว่างฟังบทสวดเพลินๆ ก็รู้สึกถึงน้ำมันอุ่นๆค่อนข้างร้อน ไหลลงมาที่กลางกระหม่อม กลิ่นน้ำมันหอมละมุนมีกลิ่นสมุนไพรบางอย่างจางๆ น้ำมันเริ่มไหลลงมาตรงหน้าผาก เต็มหัว เต็มหน้าไปหมด
      
หมอนวดหยุดท่องบทสวดนั่น แล้วค่อยๆนวดศรีษะ นวดคอ ไหล่ แขน “หนักไปหรือเปล่าคะ บอกได้นะ” “พี่อายุเท่าไรคะ” “แต่งงานหรือยัง” บทสนทนาเริ่มไปเรื่อยๆ จนเธอบอกให้ขึ้นเตียง
     
เธอเล่าว่า “เธอเรียนนวดมาตั้งแต่เด็กๆ เด็กทุกคนในหมู่บ้านต้องเรียนวิธีการนวด ต้องสืบสานวิชานวดจากพ่อแม่ ตอนนี้เธอมีลูกอายุขวบครึ่ง ทุกเช้าจะนั่งเรือมาทำงานนวดที่นี่ ตอนเย็นคนมานวดเยอะมาก มืดๆถึงจะได้กลับบ้าน”
  
     
พอขึ้นเตียง นอนหงายไปบนเตียงไม้แข็งๆนั้น ไม่มีหมอน ไม่มีผ้าปิดเรือนร่าง ไม่มีอะไรทั้งนั้น (ใช่ค่ะ หน้าต่างบานนั้น อยู่ปลายเตียงพอดี และมันก็ยังคงเปิดอยู่) น้องเริ่มเอาน้ำมันอุ่นๆมาราดไปตามขา จากปลายเท้า นวดเท้า นวดขา สลับกับการราดน้ำมันไปด้วย จนมาถึงหน้าอก ลำคอและหัวไหล่ จากนั้นก็ให้นอนคว่ำ นวดน้ำมันอุ่นๆไปได้สักครึ่งชั่วโมง กำลังเคลิ้มๆเลย
   
แล้วก็ได้เวลาการนวดแบบพิเศษ หมอนวดบอกให้นอนหงาย หลับตา สักพักก็นำอุปกรณ์ น่าจะเป็นขาตั้ง และหม้อใส่น้ำมันสมุนไพร กับอุปกรณ์พิเศษบางอย่างมาว่างเหนือหัว แล้วเอาผ้าอุ่นๆมาปิดตา เอาสำลีมาอุดหู (แอบนึกในใจว่า จะอุดจมูกด้วยหรือเปล่า? โชคดีที่ไม่) จากนั้นเธอก็เริ่มสวดมนต์อีกครั้ง
     
“โอม...” เริ่มมีน้ำมันอุ่นๆ ไหลลงมาตรงกลางหน้าผาก หม้อใส่น้ำมันเคลื่อนสลับซ้ายขวาช้าๆ น้ำมันหยดสลับจากซ้ายไปขวา กลับไปกลับมาตรงหน้าผาก เป็นความสบายอย่างบอกไม่ถูกเลยทีเดียว เวลาผ่านไปสักพัก หลังจากเคลิ้มหลับไป กับน้ำมันอุ่นๆและเสียงสวดที่ไพเราะ หมอนวดก็มาปลุกให้ตื่น บอกว่าเสร็จแล้ว “ไปอาบน้ำได้แล้วค่ะ”
     
   
เตียงมันลื่นน้ำมัน ลุกยากมาก แต่สนุกดี เวลานั่งจะไหลไปไหลมา กระดาษเตี่ยวนั่นก็ชุ่มไปด้วยน้ำมัน เธอพยุงให้เราลุกนั่ง พยุงลงจากเตียง แล้วเอาผ้าขาวบางๆมาให้นุ่ง ผ้ามันผืนเล็กมาก ปิดล่างบนเปิด ปิดบนล่างเปิด ก็ต้องเลือกเอาล่ะว่าจะให้ปิดอะไร (ไฟมาแล้ว มาตอนไหนไม่รู้ แต่ห้องก็ยังมืดสลัวๆ และ ใช่ค่ะ หน้าต่างยังเปิดอยู่)
      
ที่ไปนวดมาก็ประมาณนี้
แต่ใช้หมอนวดคนเดียว สบายเท้ามากๆ
 
 
หมอนวดจูงมือเราเดินไปตามทางเดินเล็กๆระหว่างสองห้อง ไปที่ห้องอาบน้ำ ที่มีอยู่ห้องเดียว ให้เพื่อนนอนรอบนเตียงไปก่อน เพราะนวดเสร็จทีหลัง พอมองเห็นกันในแสงสลัวๆ เข้าห้องน้ำ ทีแรกก็คิดว่าเธอคงแค่มาส่ง ที่ไหนได้ เธอตามมาอาบน้ำให้ด้วย ตักน้ำให้อาบ ถูสบู่ให้ ล้างหัวให้ก่อนด้วยสบู่ แล้วก็ถูตัวให้ ถูเท้าให้ก่อน แล้วก็มาถูหน้า ก็สบู่ก้อนเดียวนั่นแหล่ะ จะขออาบเองก็ไม่ยอม ที่สำคัญคือ น้องไม่ยอมให้ปิดประตูห้องน้ำ “เฮ้ย กูอายเพื่อน” มันเป็นการอาบน้ำสระผมที่ทุลักทุเลมาก สรุปคือรีบอาบๆให้เสร็จ แล้วรีบพาตัวเองเดินกลับห้องมาแต่งตัว ด้วยสภาพความมันเยิ้มลดลงเพียง 50%
    
ตอนที่เดินออกมาจากห้องนวด ตัวมันเยิ้มๆ

บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ารู้สึกอย่างไร
   
จ่ายค่านวดไป 3000 รูปี กับเอาทิปไปให้น้องหมอนวดนิดหน่อย
 
ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกแล้ว กลับลงเรือ
  
  
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีการนวด ก็ออกมาเยิ้มๆ หน่อยประมาณนี้ค่ะ แต่เราว่าหน้าใสขึ้นนะ (คิดไปเองป่ะเนี่ย)
 
 
เป็นประสบการณ์ที่หาไม่ได้อีกแล้ว
 
พอมานึกย้อนหลัง ก็ชอบนะ วันนั้นได้สนุกกับชีวิตมาก

และจนป่านนี้ยังไม่กล้าถามเพื่อนเลยว่า
 
“แกเห็นฉันหรือเปล่าวะ?”


ขอบคุณที่อ่านจนจบนะคะ
 
เรื่องราวจาก Alappuzha, kerala


11 มีนาคม 2562

เล่าโดย วันแรมทาง




 

 




บันทึกแรมทาง

พุทธคยาเย็นใจ 10-14 ตุลาคม 2567
ครั้งหนึ่ง ณ หุบเขาสปิติ
คำแนะนำเรื่อง อาการแพ้ความสูง (AMS)
Boarding Pass
สู่แดนพระพุทธองค์ article



ใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยว เลขที่ 11/06037
ติดต่อเรา
โปรแกรมการเดินทาง
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot










อุณหภูมิ พยากรณ์อากาศ
คำแนะนำเรื่อง อาการแพ้ความสูง Altitude Sickness อาการเวลาอยู่บนพื้นที่สูง Acute Mountain Sickness (AMS)


Copyright © 2007-2037 สงวนลิขสิทธิ์ภาพและบทความที่จัดทำขึ้นโดยเว็บไซต์ ห้ามลอกโดยเด็ดขาด
ติดต่อเรา
บริษัท อัพเดททัวร์แอนด์ทราเวล จำกัด
เลขที่ 1/60 ซอยอนามัยงามเจริญ 12 แขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน กรุงเทพ 10150
โทรศัพท์ : 024054561 , 0816928233 (dtac) , 0898119139 (ais)
Email : wanramtang@hotmail.com
Line ID: @wanramtang