สะพายกล้องท่องธรรม สังเวชนียสถาน 4 ตำบล ตอนที่ 2 : ท่องไปในแดนธรรม บันทึกโดย "ฉุน" ภาพจาก "แฟ้มปัญญาวุฒิไกร" เดินทาง 5-15 พฤศจิกายน 2551
ReadyPlanet.com
dot dot
สะพายกล้องท่องธรรม ๒ article

สะพายกล้องท่องธรรม

 

บันทึกโดย "ฉุน"
ภาพจาก "แฟ้มปัญญาวุฒิไกร"

เดินทาง 5-15 พฤศจิกายน 2551

 

สังเวชนียสถาน 4 ตำบล
ตอนที่ 2
:   ท่องไปในแดนธรรม


 

 

 

 

 

 

นะมัสเต  สัพ โลค ขอกล่าว “สวัสดี” เป็นภาษาฮินดีอีกครั้งครับ ตอนที่แล้วเป็นตอนที่ผมพาทุกท่านไปชมบ้านเรือนผู้คนและวิถีชีวิตตลอดสองข้างทาง  สำหรับตอนนี้ผมขอพาทุกท่านท่องไปในแดนธรรมเพื่อสักการะสังเวชนียสถานทั้งสี่ อันได้แก่ สถานที่ประสูติ  ตรัสรู้  แสดงปฐมเทศนา และสถานที่ดับขันธปรินิพพาน  ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าท่านได้ทรงแนะนำอย่างยิ่งว่าชาวพุทธผู้ศรัทธาจะต้องหาโอกาสมาทัศนาเพื่อให้เกิดอนุสติเป็นเครื่องเตือนใจไม่ให้ดำรงชีวิตด้วยความประมาท อันเป็นอริยทรัพย์ที่มีคุณค่ามหาศาลมากมายกว่าโภคทรัพย์ที่เราหามาเพื่อสะสมและใช้ไปในทางโลกจนเปรียบเทียบกันไม่ได้ 

 

 

 

 

เครื่องบินของสายการบินอินเดียแอร์ไลน์ พาพวกเรากลุ่ม “วันแรมทาง” ออกจากสนามบินสุวรรณภูมิแต่เช้ามืดราวตีห้า แต่อีกแค่เพียงห้าชั่วโมงเท่านั้นเครื่องบินก็แตะพื้นสนามบินคยา เมืองคยา รัฐพิหาร ในเวลา 08.30 น. แทนที่จะเป็นเวลา 10.00 น. ก็เนื่องด้วยเวลาของประเทศอินเดียช้ากว่าเวลาที่ประเทศไทยหนึ่งชั่วโมงครึ่งทำให้พวกเรากำไรเวลาในการท่องเที่ยว  จากนั้นใช้เวลาอีกราวชั่วโมงเพื่อผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรพวกเราก็พร้อมที่จะออกเดินทางไปเก็บสัมภาระที่วัดไทยมคธที่อยู่ห่างจากสนามบินราวครึ่งชั่วโมงก่อนที่จะเดินทางไปปฏิบัติธรรมถวายพระพุทธเจ้า ณ มหาเจดีย์พุทธคยา สถานที่ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณด้วยการสวดมนต์และนั่งสมาธิบริเวณใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ต้นที่ 4 โดยเป็นหน่อที่สืบทอดมาจากต้นแรกที่แทงยอดพร้อมกับการประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ ก่อนที่พระองค์จะอาศัยร่มไม้เป็นที่นั่งประทับเพื่อตรัสรู้ในอีก 35 ปีถัดมาและมีอายุยืนยาวอยู่ราว 375 ปีและให้หน่อโพธิ์ต้นที่สองซึ่งมีอายุอยู่ราว 871 ปีและต้นที่สองนี้ก็ให้หน่ออ่อนเพื่อเติบโตเป็นต้นที่สามซึ่งมีอายุยืนยาวอยู่ถึง 1,258 ปีก่อนที่จะให้หน่อที่เติบโตเป็นต้นที่4 อันเป็นต้นปัจจุบันนับอายุได้ 127 ปี 

 

 

 

การถ่ายภาพเต็มองค์มหาเจดีย์พุทธยาซึ่งมีความสูงราว 51 เมตรในสภาพท้องฟ้าที่ออกขาวมีเมฆมาก และไม่ได้มุมโพลาไรซ์ แต่ขณะเดียวกันก็อยากได้ผู้คนที่มายังสถานที่แห่งนี้จึงจำเป็นต้องมีส่วนของต้นไม้สูงเข้าไปในส่วนบนของภาพเพื่อไม่ให้พื้นที่ของท้องฟ้าซึ่งขาดรายละเอียดและสีไม่สดใสอิ่มตัวมีมากเกินไปและทำให้ภาพดูดีขึ้น  นอกเหนือจากการถ่ายภาพสถานที่เพื่อเก็บเป็นที่ระลึกแล้ว ผมเลือกที่จะถ่ายแนวปฏิบัติบูชาของพระสงฆ์บ้าง แม่ชีบ้าง อุบาสกและอุบาสิกาของพุทธศาสนิกชนชาติต่างๆเพื่อให้ภาพดูแปลกตาจากที่เห็นเป็นปกติที่ประเทศไทย  นอกจากนี้ผมยังถ่ายภาพที่สร้างความเด่นของภาพโดยกำหนดให้ค่าความไวของแสง (ISO) เพื่อความเร็วหน้ากล้องช้าลงพอที่จะให้เห็นอาการเคลื่อนไหวของประธานของภาพเพื่อตัดกันกับมหาเจดีย์ที่สงบหยุดนิ่งและยิ่งใหญ่  เป็นต้น 

 

 

 

ที่พุทธคยานี้มักจะมีพุทธบริษัทสี่ที่มีศรัทธาแรงกล้าที่จะปฏิบัติบูชาตลอดทั้งคืนโดยไม่นอนเพื่อน้อมรำลึกถึงพระหฤทัยอันเด็ดเดี่ยวมั่นคงของพระพุทธเจ้าในคืนวันตรัสรู้ว่า “หากยังมิได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ แม้นโลหิตเนื้อจะเหือดแห้งไปเหลือเพียงหนังเอ็นและกระดูก ก็จะไม่ละเลิกความเพียรโดยลุกไปจากที่นี้โดยเด็ดขาด”   

 

 

 

เริ่มต้นก็รีบพาท่านผู้อ่านไปยังพุทธคยา  โดยที่ไม่ได้ทำความเข้าใจกันก่อนถึงคำว่า “สังเวชนียสถาน”  ดังนั้นก่อนที่พวกเราจะไปทัศนาสถานที่อันเป็นที่ปรินิพพาน ผมขออนุญาตอธิบายความหมายของคำว่า “สังเวชนียสถาน” เพื่อให้ทุกท่านได้ประโยชน์จากการท่องไปยังแดนธรรม  

 

 “สังเวชนียสถาน” นี้อ่านออกเสียงว่า “สัง-เว-ชะ-นี-ยะ-สะ-ถาน” ไม่ได้มีความหมายว่าเป็นสถานที่ที่ไปดูไปเห็นแล้วจะรู้สึกสลดหดหู่แต่ประการใด  การที่พวกเราส่วนใหญ่เข้าใจความหมายไปในทางดังกล่าวมิใช่เรื่องแปลกเพราะเราไปยึดติดกับคำว่า “สังเวช” ซึ่งบังเอิญไปเป็นเหตุเป็นผลรับกับสถานที่หนึ่งในสี่ซึ่งพระพุทธเจ้าใช้เป็นที่ปรินิพพานอันทำให้เกิดความหดหู่เศร้าเสียใจแก่ปุถุชนทั่วไป  แต่ “สังเวชนียสถาน” นี้มีความหมายว่า สถานที่ที่มีความรู้พร้อม หรือสถานที่ที่เป็นแหล่งให้ความรู้ เพราะมีรากศัพท์มาจาก “สัง” ที่แปลว่า “พร้อม”  ขณะที่ “เวช” หรืออีกนัยหนึ่งคือ “วิชา” อันมีความหมายว่า “ความรู้”   โดย “อนียะ” แปลว่า “ควร” และ “สถาน” คือ “สถานที่”  นั่นเอง 

 

 

 

เมื่อทุกท่านเข้าใจตรงกันถึงความหมายของสังเวชนียสถานแล้วผมก็ขอพาทุกท่านเดินทางไปยังเมืองกุสินาราโดยแวะพักที่เมืองนาลันทาและพักค้างคืนที่ไวสาลีก่อนที่จะเดินทางต่อไปยังกุสินารา   เมืองนาลันทานี้มีความสำคัญทางพุทธศาสนาเนื่องจากเป็นบ้านเกิดของมหาอัครสาวกซ้ายขวาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ พระโมคคัลลานะและพระสารีบุตร นอกจากนี้นาลันทายังเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งแรกของพุทธศาสนาคือมหาวิทยาลัยนาลันทา  ซึ่งมีความเจริญรุ่งเรืองและยิ่งใหญ่มาก ปัจจุบันเท่าที่ขุดค้นพบซากโบราณสถานก็กินอาณาเขตกว่า 231 ไร่ สร้างขึ้นโดยพระเจ้าอโศกมหาราช  ความเจริญรุ่งเรืองของสังฆารามแห่งนี้มีอยู่ราว 800 ปีก็เริ่มถึงกาลแห่งความเสื่อมเมื่อไม่ได้รับพระบรมราชูปถัมภ์ เพราะศาสนาพราหมณ์หรือฮินดูในปัจจุบันได้เริ่มรุ่งเรืองขึ้นมาใหม่และสามารถยึดครองความเชื่อความศรัทธาจากกษัตริย์ในยุคนั้นๆได้  มหาวิทยาลัยนาลันทาถึงคราวล่มสลายอย่างสมบูรณ์ในพศ.1766 เมื่อกองทัพมุสลิมได้เข้ามารุกรานแผ่นดินอินเดียและได้เผาทำลายและเข่นฆ่าพระสงฆ์อย่างโหดร้ายทารุณ  เรื่องราวทั้งหมดอันเป็นประวัติศาสตร์นี้ไม่ได้สอนให้เราจงเกลียดจงชังศาสนาใดศาสนาหนึ่งแล้วไปศรัทธานับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่ง แต่กลับเป็นธรรมสอนให้เรารู้ว่าไม่มีสิ่งใดที่เที่ยงแท้ถาวร  ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่จะทำให้เกิดขึ้น  เหตุปัจจัยที่ทำให้ตั้งอยู่ และเหตุปัจจัยที่ทำให้ดับไปเปลี่ยนแปลงไป 

 

 

 

จากนาลันทาและไวสาลีเราจะเดินทางต่อไปยังสถานที่ที่อันเป็นที่ดับขันธปรินิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งจะต้องนั่งรถกันนานถึง 10 ชั่วโมง  การเดินทางอย่างทรหดนานๆเช่นนี้ได้แต่ขอให้ทุกท่านอดทนกันเพื่อบูชาพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์โดยน้อมรำลึกว่า พระพุทธองค์ทรงจาริกด้วยพระบาทเปล่าในวัย 79 พรรษาตั้ง 90 วัน เพื่อมาปรินิพพาน ณ เมืองนี้  เราเองสินั่งรถบัสปรับอากาศเย็นๆแม้นว่าจะเดินทางนานสักหน่อยบนถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่อก็ยังสะดวกสบายกว่ามากมาย แถมยังได้หลับทำเวลากันเป็นพักๆ เสียอีก   

 

 

 

“ปรินิพพานสถาน” ณ สาลวโนทยาน แห่งนี้จะมีสถานที่สำคัญอยู่สองแห่งด้วยกันคือ มหาปรินิพพานสถูป และวิหารปรินิพพานซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางอนฏฐิตสีหไสยาสน์(ปางเสด็จบรรทมครั้งสุดท้าย) อาคารทั้งสองมีขนาดใหญ่ค่อนข้างมาก ดังนั้นการถ่ายรูปสถานที่ดังกล่าวเพื่อเป็นที่ระลึกแห่งการได้มาเยือน ผมจึงรอจังหวะให้มีคณะผู้แสวงบุญทำทักษิณาวัตรรอบมหาปรินิพพานสถูปเพื่อเป็นการเปรียบเทียบให้เห็นถึงขนาดความใหญ่ของสถานที่ดังกล่าว 

 

 

 

จากเมืองกุสินาราเราก็จะเดินทางต่อไปยังสวนลุมพินีวัน ที่ตำบลลุมมินเด ประเทศเนปาล เดิมทีสถานที่แห่งนี้อยู่ในเขตของประเทศอินเดีย จนกระทั่งเมื่อปี พศ.2493 ได้มีการแบ่งปันเขตแดนกันใหม่สวนลุมพินีวันจึงได้มาอยู่ในเขตประเทศเนปาลตราบจนกระทั่งทุกวันนี้  การเดินทางข้ามประเทศจากอินเดียสู่เนปาลไม่มีอะไรยุ่งยากมากนัก เพราะทั้งสองประเทศไม่ค่อยเคร่งครัดเรื่องการตรวจคนเข้าเมืองและออกเมือง  มัคคุเทศก์ท้องถิ่นรวบรวมพาสปอร์ตของทั้งคณะเพื่อไปตรวจลงตราทั้งฝั่งอินเดียและฝั่งเนปาล ส่วนพวกเราให้นั่งรอบนรถบัสซึ่งค่อยๆ ขยับไปทีละนิดๆ เพราะรถมากเหลือเกิน  นี่ยังถือว่าโชคดีนะที่รถบรรทุกสินค้าที่นี่เขาใจดีกับนักท่องเที่ยว ปล่อยให้รถบัสของพวกเราแซงขึ้นไปข้างหน้าได้ไม่ต้องรอจากท้ายแถวซึ่งยาวกว่าสองกิโลเมตร 

 

 

 

 

ทางการเนปาลได้จัดพื้นที่ลุมพินีให้เป็นเขตมรดกโลกและไม่อนุญาตให้รถเข้าไปใกล้บริเวณอันเป็นสถานที่ประสูติ  พวกเราต้องลงเดินกันราวหนึ่งกิโลเมตรจึงจะถึง “มหามายาเทวีวิหาร” ในยามพระอาทิตย์ใกล้จะลาลับฟ้าแล้ว  การถ่ายภาพด้วยกล้องสี่พันทอนร้อยในช่วงเวลานี้ผมจำเป็นต้องปรับค่าความไวแสงให้ขึ้นไปถึง ISO 800 เพื่อที่สามารถถ่ายภาพได้นิ่งโดยไม่ต้องใช้ขาตั้งกล้องเพราะไม่มีขาตั้งกล้องนั่นเอง  แต่ก็ต้องแลกกับ noise จำนวนมาก  อย่างไรก็ตามผมมีโอกาสกดชัตเตอร์ได้สองสามรูปเพราะต้องรีบสวดมนต์นั่งสมาธิถวายเป็นพุทธบูชาก่อนที่เจ้าหน้าที่จะมาล็อคประตูเนื่องจากถึงเวลาปิดทำการ 

 

 

 

หลักฐานที่เป็นชิ้นสำคัญที่ยืนยันถึงความเป็นสถานที่ประสูติก็คือเสาอโศกมหาราชซึ่งมีตัวหนังสือจารึกบอกไว้ แต่ก็ยังมีผู้แย้งว่าเสาอโศกดังกล่าวสร้างขึ้นหลังจากการปรินิพพานของพระพุทธเจ้าแล้ว 236 ปี สถานที่ดังกล่าวอาจจะไม่ใช่สถานที่ประสูติจริงๆ ก็ได้  จะใช่หรือไม่ใช่สำหรับผมแล้วไม่ใช่เป็นประเด็นสำคัญ เพราะใช่หรือไม่ใช่ต่างก็เป็นเรื่องสมมติขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องเตือนสติให้เห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป ดังนั้นเราควรดำรงชีวิตด้วยความไม่ประมาทให้สมกับพุทธโอวาทครั้งสุดท้ายก่อนที่จะปรินิพพาน 

 

 

 

จากลุมพินีเราจะเดินทางกลับมาสู่อินเดียอีกครั้งเพื่อไปดินแดนปฐมเทศนาที่สารนาถ ซึ่งอยู่ติดกับเมืองพาราณสีโดยใช้เวลาเดินทางกันราว 10 ชั่วโมง แม้ว่าจะใช้เวลาในการเดินทางยาวนานแต่ก็คุ้มค่าที่ได้มาที่พาราณสี ซึ่งปัจจุบันคือเมืองบานาราส (Banaras) ในเขตอำเภอบานาเรส  รัฐอุตตรประเทศ  มีความเจริญรุ่งเรืองมาก่อนพุทธกาลนับได้ราว 4 พันปีจนถึงปัจจุบัน  เป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาฮินดู (หรือศาสนาพราหมณ์ในอดีต)อย่างยาวนานตั้งแต่ครั้งก่อนพุทธกาล จวบจนกระทั่งปัจจุบัน  ทั้งยังมีแม่น้ำคงคาอันเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์เนื่องจากฮินดูชนเชื่อว่าเป็นแม่น้ำที่เกิดจากน้ำที่ไหลผ่านมวยผมของพระศิวะอันเป็นเทพสูงสุดหนึ่งในสามของศาสนาฮินดู (บางนิกายของฮินดูก็ว่าเป็นเทพสูงสุดแต่เพียงพระองค์เดียว)  การมาพาราณสีเราจึงได้เห็นวิถีชีวิต ความเชื่อความศรัทธาของชาวฮินดูทำให้ได้ข้อคิดย้อนกลับมาดูใจของเราอันเป็นพุทธศาสนิกชน

 

 

 

การถ่ายรูปวิถีชีวิตที่พาราณสีนี้เป็นการถ่ายรูปแบบที่เจ้าตัวต้องเผลอหรือไม่รู้เนื้อรู้ตัวว่าถูกถ่าย (Candid) และผู้ถ่ายเองก็ต้องมีความไวทั้งการจัดองค์ประกอบ  การกดชัตเตอร์ และต้องมั่นใจเรื่องการโฟกัส  ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับกล้องคอมแพคท์ราคาสี่พันทอนร้อยในการถ่ายภาพแบบนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งการถ่ายภาพในสภาพแสงน้อยๆ ที่ต้องประสบที่เมืองพาราณสี  การตั้งโฟกัสแบบแมนนวลโดยกำหนดจุดโฟกัสตั้งแต่สามเมตรขึ้นไปจากตัวกล้อง และกำหนดค่าความไวแสงไว้ที่ ISO350 (ISOพื้นฐานของกล้องตัวนี้อยู่ที่ 80) ก็พอจะแก้ปัญหานี้ไปได้บ้าง ข้อดีของกล้องคอมแพคท์สำหรับการถ่ายวิถีชีวิตแบบนี้ก็คือมันดูเป็นมิตรกับผู้คนมากกว่ากล้องแบบ DSLR หรือกล้องคอมแพคท์แบบ DSLR like  อย่างไรก็ตามมันก็มีข้อด้อยกว่าในเรื่องของช่วงเทเลซึ่งทำได้จำกัดกว่ากล้องดังกล่าวทั้งสองแบบ โดยเฉพาะ DSLR ที่ใช้เลนส์เทเล รวมทั้งคุณภาพของไฟล์ภาพที่ยังห่างจากกล้อง DSLR แม้นว่าจะมีพิกเซลที่เท่ากันก็ตาม 

 

 

 

จากพาราณสีเราก็เดินทางอีกเพียงแค่ช่วงพอให้เคลิ้มๆหลังจากอิ่มท้องอย่างเต็มที่กับอาหารไทยอร่อยๆ ที่วัดจีนไตรรัตนาราม (วัดจีนที่พระสงฆ์ไทยเข้าไปดูแล) ก็จะถึงเมืองสารนาถหรือในครั้งพุทธกาลก็คือป่าอิสิปตนมฤคทายวัน สถานที่ที่ทรงแสดงปฐมเทศนาโปรดปัญจวัคคีย์ทั้งห้าเมื่อวันเพ็ญเดือนแปด ก่อนพุทธศักราช 45 ปี   และอีกเกือบสามร้อยปีให้หลัง  พระเจ้าอโศกมหาราชได้ทรงสร้างสถูปขนาดความสูงประมาณ 24 เมตร และมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเกือบๆ 20 เมตร ตรงบริเวณที่เชื่อว่าเป็นตำแหน่งที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนาดังกล่าว   เมื่อจะต้องถ่ายรูปธัมเมกขสถูปซึ่งมีขนาดใหญ่โตเช่นนี้จึงต้องรอให้มีคนเข้ามาเพื่อเปรียบเทียบขนาดเพื่อเป็นการสื่อให้เห็นความศรัทธาที่มีต่อพุทธศาสนาของผู้สร้างดังกล่าวไปในตัว
 

 

 

 

ผมพาท่านผู้อ่านท่องไปในแดนธรรมอันเป็นสถานที่สำคัญของพุทธศาสนา รวมถึงเมืองพาราณสีซึ่งได้เห็นความเชื่อความศรัทธาของชนชาวอินเดียที่นับถือศาสนาฮินดูจนถึงตรงนี้ก็สมควรที่จะต้องกล่าวคำอำลา  แต่ก่อนที่จะจากกันผมก็หวังให้ท่านผู้อ่านทุกท่านได้มีโอกาสปฏิบัติธรรมตามศาสนาที่ท่านนับถืออยู่ซึ่งจะเป็นศาสนาใดก็แล้วแต่  ขอให้ปฎิบัติไม่ต้องมากมายอะไรหรอก ทำแค่วันเดียวเท่านั้นก็พอ .....วันเดียวเท่านั้นคือวันที่ท่านยังมีชีวิตมีลมหายใจอยู่ ส่วนวันอื่นผมไม่ขอให้ท่านปฏิบัติหรอก  แหมผมเล่นขอร้องตบท้ายเช่นนี้ก็เห็นทีจะต้องรีบกล่าวคำอำลาจริงๆ เสียที   ธันยะวาท  และ  นะมัสเต  สัพ โลค” เพื่อแทนคำขอบคุณและกล่าวคำสวัสดีเป็นการส่งท้ายท่านผู้อ่านไว้ ณ ตรงนี้  แต่..............อย่าลืมนะครับ ปฏิบัติธรรมแค่วันเดียวก็พอ  

  

_______________________________________________________________________________________________

Comment by: APPLE ( Patcharaporn Panyawuthikrai ค่ะ
เห็นว่าอาจจะมีประโยชน์สำหรับสมาชิก "วันแรมทาง" ที่ต้องการเทคนิคเพิ่มเติมในการถ่ายรูปเพื่อบันทึกเรื่องราว ที่ได้มุมมองดีๆ ประกอบอารมณ์ศิลป์ ส่วนเทคนิคในการถ่ายภาพแต่ละรูป อาจต้องดูประกอบในนิตยสารนะคะ ไม่ได้ประกอบในบันทึกฯ นี้

 

 

 

 

 แนะนำ ติชม คลิ้กที่นี่

 

 

 




บันทึกแรมทาง

ครั้งหนึ่ง ณ หุบเขาสปิติ
พุทธคยาเย็นใจ 10-14 ตุลาคม 2567
คำแนะนำเรื่อง อาการแพ้ความสูง (AMS)
พาไปนวดที่ Kelara article
Boarding Pass



ทัวร์อินเดียคุพภาพเยี่ยม
ใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยว เลขที่ 11/06037
กดติดตาม facebook วันแรมทาง อัพเดททัวร์แอนด์ทราเวล
ติดต่อเรา วันแรมทาง อัพเดททัวร์แอนด์ทราเวล
dot
โหลดเอกสารที่ต้องจัดส่ง เพื่อขอวีซ่า สำหรับผู้จองทัวร์
dot
dot
ดาวโหลด เอกสารที่ต้องจัดส่งเพื่อขอวีซ่า กรณีจ้างทำวีซ่า
dot
โปรแกรมเดินทาง ทัวร์อินเดีย วันแรมทาง อัพเดททัวร์แอนด์ทราเวล
วิธีการจองทัวร์ วันแรมทาง อัพเดทร์ทัวร์แอนด์ทราเวล
dot
ตรวจสอบสถานะการจองทัวร์ วันแรมทาง อัพเดททัวร์แอนด์ทราเวล
dot
dot
วันแรมทาง บริการคุณภาพ โดยผู้เชี่ยวชาญ
dot
รับทำวีซ่าอินเดีย อัพเดททัวร์แอนด์ทราเวล (วันแรมทาง)
รับทำวีซ่าเนปาล อัพเดททัวร์แอนด์ทราเวล (วันแรมทาง)
รับจอง ตั๋วรถไฟอินเดีย อัพเดททัวร์แอนด์ทราเวล (วันแรมทาง)
รับจอง ตั๋วรถบัสอินเดีย อัพเดททัวร์แอนด์ทราเวล (วันแรมทาง)
คำแนะนำเรื่อง อาการแพ้ความสูง Altitude Sickness อาการเวลาอยู่บนพื้นที่สูง Acute Mountain Sickness (AMS)
ลิงค์เว็บไซต์ พยากรณ์อากาศ ที่เชื่อถือได้




Copyright © 2007-2037 สงวนลิขสิทธิ์ภาพและบทความที่จัดทำขึ้นโดยเว็บไซต์ ห้ามลอกโดยเด็ดขาด
ติดต่อเรา
บริษัท อัพเดททัวร์แอนด์ทราเวล จำกัด
เลขที่ 1/60 ซอยอนามัยงามเจริญ 12 แขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน กรุงเทพ 10150
โทรศัพท์ : 024054561 , 0816928233 (dtac) , 0898119139 (ais)
Email : wanramtang@hotmail.com
Line ID: @wanramtang