ทุ่งดอกกระเจียว ชัยภูมิ อุทยาน ไทรทอง ป่าหินงาม
ReadyPlanet.com
dot dot
ออกจากกรุงไปเที่ยวทุ่งดอกกระเจียว article

เรื่องและภาพ โดย สาริศา

 

 

"ทริปเที่ยวทุ่ง ออกจากกรุง ไปดูดอกกระเจียว"

วันที่ 14 – 15 ก.ค. 2550 อุทยานแห่งชาติไทรทอง และ อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม ชัยภูมิ

กลับมาจากทริปที่ยาวนานของอินเดียได้ยังไม่ทันไร เราก็ออกเที่ยวเมืองไทยต่อกันเลย ก็ข่าวการเดินทางเที่ยวทุ่งดอกกระเจียวน่ะ ไปถึงเราตั้งแต่อยู่ที่อินเดียแล้ว ก็แค่ตอบมาว่าอยากไปด้วย ถ้าไม่รีบก็ให้รอหน่อย ท่านน้องทั้งหลายก็เลยฉลองศรัทธา รอจริงๆ ด้วย รอให้กลับมาจัดให้ซะเลย (เป็นงั้นไป)

กลับมาจากอินเดียก็ยุ่งจะแย่ มีงานถาโถมเข้ามาอย่างหนัก รูปที่เก็บมาฝากก็ต้องเอารูปเว็ป บันทึกอันยาวเหยียดก็ยังไม่ได้พิมพิ์(แบบว่าคงรวมเล่มได้พ็อกเก็ตบุ๊คหนึ่งเล่มเลยอ่ะ) งานเขียนจากออฟฟิตก็เข้ามาอย่างต่อเนื่องหลังจากหายหัวไปเกือบเดือน แต่ยังไงก็ยังสามารถหาเวลาจัดทริปเรื่องเที่ยวได้อยู่ดี และจากมติที่ประชุมกัน(ทางอินเตอร์เน็ท) ก็สรุปได้ว่าเราจะออกเดินทางไปเที่ยวทุ่งดอกกระเจียวกันในวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ 14 – 15 กรกฎานี้ ช้ากว่านี้กลัวดอกไม้จะเหี่ยวซะก่อนน่ะ

ไปเที่ยวคราวนี้มีสมาชิกสิบกว่าคน(ในตอนแรก) ท้ายที่สุดตอนจะไปจริงๆ เหลืออยู่ 10 คนพอดี เหมารถตู้ไปจากกรุงเทพฯ 8 คน แล้วก็ขับรถไปสมทบที่ชัยภูมิอีก 2 คน เสียงส่วนใหญ่อยากนอนเต็นท์ อิงธรรมชาติ แต่ก็มีบางเสียงบอกว่ากลัวฝน เอาน่า อยู่ใต้ฟ้ากลัวทำไมกับฝน ก็อยากไปดูดอกไม้หน้าฝนนี่นา ไปลุ้นกันเอาข้างหน้าแล้วกันนะ สรุปว่าเตรียมอุปกรณ์สำหรับการแคมป์ปิ้งกันเต็มพิกัด เต็นท์ ถุงนอน เตาแก๊ส หม้อ กะทะ วัตถุดิบอื่นๆ เดี๋ยวไปหาซื้อเอาแถวนั้น

พวกเราเลือกที่จะพักกันที่อุทยานแห่งชาติไทรทอง เพราะคนส่วนใหญ่รู้จักและนิยมไปที่อุทยานแห่งชาติป่าหินงามมากกว่า พวกเราเป็นประจำคนส่วนน้อยน่ะ ไม่ชอบที่คนเยอะๆ มันวุ่นวายเกินไป (แค่พวกเราแก๊งค์เดียวก็วุ่นพออยู่แล้ว) ถึงจะไม่แน่ใจนักว่าคิดถูกหรือผิดที่เลือกอุทยานไทรทอง แต่ก็คิดว่าไม่ลองก็ไม่รู้แหละ เดินหน้าเต็มตัว ลุยกันต่อเลย จุดหมายของเรา อุทยานแห่งชาติไทรทอง แล้วค่อยไปเที่ยวที่อุทยานฯ ป่าหินงามก่อนกลับก็ได้

เรานัดรวมพลกันตอน 7 โมงเช้า ที่คอนโดฯ พี่ปลาแถวสุขสวัสดิ์ เพราะสมาชิกส่วนใหญ่ที่ร่วมทริปในคราวนี้อยู่ฝั่งธนฯ กันเกือบหมด มีแค่ 2 ใน 8 ที่อยู่ฝั่งพระนคร เพราะฉะนั้นคนส่วนน้อยก็ข้ามมาหาคนส่วนใหญ่แล้วกันนะ แต่พอถึงวันออกเดินทาง กลายเป็นว่าพวกเด็กในเมืองเค้ามารอเด็กบ้านใกล้ซะอย่างนั้น แถมคนที่บ้านอยู่ใกล้สุดดันมาช้าที่สุดอีกด้วย กว่าล้อจะได้หมุนก็ 7 โมงครึ่งกว่าได้

ขนสัมภาระขึ้นรถตู้กันเรียบร้อย จับจองที่นั่งกันเสร็จสรรพ ได้เวลาเติมพลังอาหารเช้าด้วยข้าวเหนียวหมูและข้าวเหนียวเนื้อที่สั่งใส่ห่อไว้ล่องหน้าสำหรับเป็นอาหารเช้าตอนเดินทางโดยเฉพาะเลย ซึ่งก็เป็นที่ถูกใจสมาชิกทุกคนกันดี แต่เราน่ะกินไอ้ข้าวเหนียวเนื้อเนี่ยมา 3 วันแล้ว แบบว่ามาสั่งเค้าล่วงหน้า แล้วก็ซื้อไปกิน วันแรกกะว่า 10 ห่อก็พอสำหรับ 8 คน พออีกวันคิดว่าน่าจะเผื่อไปซะหน่อย เอาเป็น 12 แล้วกัน มาสั่งเพิ่มก็ซื้อไปกินอีก รวมอีกหนึ่งมื้อในรถ เราก็กินข้าวเหนียวเนื้อเป็นอาหารเช้ามา 3 วันพอดี อืม! น่าภูมิใจแทนคนขายจริงๆ ที่มีแฟนพันธุ์แท้ขนาดนี้

นั่งสนทนากันได้สักพักก็เริ่มเมาข้าวเหนียวแล้วก็หลับไปทีละคน บางรักซอย 9 ที่เปิดอยู่ก็ไม่ได้ช่วยให้ดูสว่างได้นานเท่าไหร่ หลับๆ ตื่นๆ กันไปตลอดทาง แล้วก็ลืมตามารับโทรศัพท์เป็นระยะๆ ท่านกุมารทองขับรถไปถึงชัยภูมิตั้งแต่เมื่อวาน แล้วก็ไปกางเต็นท์นอนที่อุทยานฯ ป่าหินงามซะหนึ่งคืน เลยโทรมาถามอยู่เรื่อยๆ ว่าถึงไหนกันแล้ว เลยนัดกันว่าเข้าไปเจอที่อุทยานฯ ไทรทองเลย รอกินข้าวกลางวันพร้อมกัน แล้วค่อยออกเที่ยวต่อ ส่วนสมาชิกอีก 1 ก็ขับรถไปเจอที่ไทรทองเหมือนกัน แต่ทั้งคู่ยังไม่รู้จักกันน่ะ เลยต่างคนต่างรออยู่คนละที่

พวกเราเข้าไปถึงอุทยานฯไทรทองตอนประมาณเที่ยงครึ่งกว่าๆ กุมารทองทัพหน้าก็สั่งอาหารบางส่วนรอไว้แล้ว ดีมากๆ มาถึงกินเลย แล้วสมาชิกทั้งทริป 10 ชีวิตก็ได้รวมพลเป็นทัพใหญ่เรียบร้อยแล้ว พอกินอิ่มก็มานั่งตกลงกันว่าจะไปเที่ยวตรงไหนต่อ หลังจากไปสอบถามข้อมูลจากเจ้าหน้าที่อุทยานฯ แล้วก็ได้ความว่าน่าจะไปน้ำตกไทรทอง แล้วก็ขึ้นไปให้ถึงลานกางเต็นท์ด้านบนไม่เกิน 5 โมงเย็น จะได้มีเวลากางเต็นท์ และทำภารกิจอื่นๆ ก่อนมืดเพราะข้างบนไม่มีไฟฟ้า หรือจะเดินไปดูพระอาทิตย์ตกก็ได้ ปัญหาคือรถตู้และรถเก๋งของพวกเราไม่สามารถขับขึ้นไปถึงลานจอดรถตรงผาพ่อเมืองได้ เพราะมีช่วงที่ต้องข้ามลำธารน้ำ ซึ่งถ้าเจอฝนตกน้ำแรงรถจะตายอยู่ตรงนั้น เราก็เลยต้องเหมารถของอุทยานฯ ขึ้นไปส่ง รวมไปและกลับ 500 บาทต่อหนึ่งคัน นั่งได้ไม่เกิน 12 คน

พอตกลงกันได้ว่าเราจะไปเที่ยวน้ำตกไทรทองก่อน แล้วก็กลับมาเตรียมของที่ต้องขนขึ้นไปตั้งแคมป์ มาเช่าอุปกรณ์พวกถุงนอนกับแผ่นรองนอนเพิ่มเผื่อว่าฝนตกจะได้นอนสบายๆ ไม่ต้องกลัวน้ำซึมมาเปียก แล้วค่อยเหมารถขึ้นไปข้างบน แต่พวกเราใช้เวลาที่น้ำตกไทรทองไม่มาก เพราะคนเยอะ และน้ำไม่ค่อยมี สิ่งที่น่าสนใจเลยกลายเป็นผีเสื้อที่บินว่อนกินดินกินน้ำตกมากกว่า เดินแวะไปดูต้นกะบากพันปีกันแว็บหนึ่ง แล้วก็กลับออกมาที่ทำการอุทยานฯ จากนั้นก็ส่งตัวแทนไปซื้อวัตถุดิบทั้งหลายที่จะเตรียมไปทำอาหารเย็นและอาหารเช้าของพรุ่งนี้

     

 

เมนูเด็ดในหัวของพวกเรา(4 สาวที่ออกไปซื้อของกัน) ก็มีไข่ดาว ไข่เจียว มาม่า โจ๊กคัฟ ขนมปังทาแยม กาแฟไมโลซองๆ แบบ 3 in 1 แล้วก็ขนมขบเคี้ยว และตบท้ายด้วยของหวานเป็นถั่วเขียวต้มน้ำตาล ที่มีคนอยากกินเป็นพิเศษ แต่แล้วเมนูขนมปังทาแย้มที่คิดมาแต่เริ่มและเป็นเมนูหลักของแทบทุกทริปก็ล้ม เพราะขนมปังที่มีขายมันดูน่ากลัวเกินไป ไม่มีวันหมดอายุบอก แถมดูเหมือนราจะขึ้นแล้วด้วย เราเลยเปลี่ยนเป็นยูโร คัสตาดเค็กแทน ส่วนอุปกรณ์จานและแก้วพลาสติกที่คิดว่าจะแวะ 7-11 แล้วค่อยซื้อ แต่แล้วก็ไม่ได้แวะ ที่นี่ก็ไม่มีขาย มีแต่กล่องโฟมขายเป็นแถวแบบยกถุงไปเลย เพราะเป็นร้านขายส่งของหมู่บ้าน ขอซื้อแบ่งแค่ไม่กี่ใบเค้าก็ไม่ขาย และเราก็ไม่อยากใช้โฟมด้วย สรุปว่าเลยไม่ซื้อ เดี๋ยวไปหาวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเอา อย่างน้อยเราก็เตรียมช้อนมาครบแล้วแหละ แจกช้อนเป็นอาวุธคนละคันก็ออกรบได้แล้ว

ตุนเสบียงสำหรับอาหาร 2 มื้อเรียบร้อย เราก็กลับไปสมทบกับเพื่อนๆ ที่อุทยานฯ ซึ่งได้สั่งไก่ย่างไว้ 2 ชิ้นใหญ่ๆ เอาไปกินมื้อเย็นนี้ด้วย ขนของลงมากองรวมกันเรียบร้อย ก็เตรียมเหมารถให้ขึ้นไปส่ง แล้วก็เจอปัญหาอีกเล็กน้อยคือถุงนอนและแผ่นรองนอนเหลือแค่ 2 ชุด ตอนที่ถามทีแรกก็ดันไม่เช่าไว้ก่อนนะ แต่ไม่เป็นไรแบ่งๆ กันไป เรามีถุงนอนมาหลายคนแล้วเหมือนกัน ส่วนแผ่นรองนอนถ้าฝนไม่ตกก็คงไม่จำเป็นมากนัก ไปลุ้นกันเอา แล้วระหว่างทางที่นั่งกินลมชมวิวอยู่บนท้ายกระบะรถระยะทางประมาณ 9 กิโล ใจก็ลุ้นกันไปตลอดว่าไอ้เมฆดำทมิฬก้อนมหึมานั้นมันจะถูกลมพัดไปที่อื่นมั้ย มันใกล้เข้ามาทุกที่แล้วนะ มันจะตกหรือเปล่า แต่พอลงจากรถทุกคนก็ลืมเรื่องเมฆฝนก้อนนั้นแล้วก็ยังคงมุ่งมั่นที่จะเดินเท้าต่อเพื่อไปกางเต็นท์นอนแถวทุ่งดอกกระเจียว 1 เพราะน่าจะใกล้ชิดธรรมชาติและดอกกระเจียวมากกว่า

ถึงสัมภาระจะเยอะและหนักเอาเรื่องอยู่ แต่พอกระจายแบ่งๆ กันไป 10 คน ก็พอไหว สรุปว่าทุกคนเต็มใจจะแบกของออกเดินอีกกว่า 2 กิโล แลกกับบรรยากาศงามๆ พร้อมแล้วก็ออกเดินกันเลย

ระหว่างทางเราก็สวนกับนักท่องเที่ยวที่เดินเข้าไปเที่ยวทุ่งต่างๆ แล้วก็เดินกลับออกมา แบบไม่ได้ไปค้างคืนข้างใน แต่ละคนก็เหงื่อโทรม สภาพเหนื่อยอ่อน แถมบางคนยังมาพูดให้เสียกำลังใจว่าอีกไกลบ้าง ข้างในน้ำไม่มีบ้าง เอานะคนเรา พูดกันไป ยังไงพวกเราก็ไม่เปลี่ยนใจอยู่ดี ไปต่อกันเลยครับพี่น้อง

พวกเราเดินแบบไม่ค่อยแวะถ่ายรูประหว่างทางมากนัก เพราะอยากไปให้ถึงที่กางเต็นท์ก่อนแสงจะหมด ทั้งที่ตอนเดินผ่านทุ่ง 2 ซึ่งเห็นดอกกระเจียวออกดอกเต็มทุ่ง ก็ต้องตัดใจเดินไปให้ถึงทุ่ง 1 อีกประมาณ 700 เมตรก่อน แต่พอมาถึงทุ่ง 1 และเห็นลานกางเต็นท์อยู่ห่างออกไปอีกหน่อยเดียว แต่ละคนก็อดไม่ได้แล้ว วางสัมภาระ หยิบกล้องขึ้นมาเก็บดอกกระเจียวกันเป็นการใหญ่ เหมือนเก็บกดมานาน แต่เบิกบานกันไม่ทันไร ก็มีเรื่องให้เจ็บใจซะงั้น เมื่อมีชายคนหนึ่งเห็นพวกเราแบกของมาอย่างทุลักทุเล เลยร้องทักว่า ทำไมไม่เอารถขึ้นมาล่ะ อ้าว? เอารถขึ้นมาได้ด้วยเหรอหน้าชาหมดแรงไปตามๆ กัน ไม่มีใครบอกและไม่มีใครรู้มาก่อนเลยว่ามันเอารถขึ้นมาถึงลานกางเต็นท์ตรงนี้ได้ โดยขึ้นจากทางด่านซับมงคล แต่ต้องเป็นรถขับเคลื่อนสี่ล้อนะ เสียค่าโง่เป็นความเหนื่อยกันไป แต่ก็โอเคแหละ เราขึ้นมาถึงแล้วด้วยสองขาและสองมือของเราเอง ลุยๆ ขำๆ(แบบน้ำตาตกในเล็กน้อย) คราวหน้าจะพารถขึ้นมาถึงนี่เลย คอยดู

 

 

พอเก็บดอกไม้กันหนำใจ ก็ค่อยมีกำลังใจแบกของเดินต่อไปที่ลานกางเต็นท์ สมาชิกทัพหน้าที่เดินทางถึงเตรียมจะกางเต็นท์อยู่แล้วเชียว แต่ถูกพระพิรุณโปรยน้ำลงมาสกัดเสียก่อน แต่ก็ตกแค่นิดหน่อยพอให้ใจเสีย พื้นยังไม่ทันเปียกท่านก็หยุด โชคดีไป

พอฝนหยุดเราก็รีบกางเต็นท์กัน(ท่ามกลางสายตาของบางกลุ่มที่เอารถขึ้นมาถึงที่ คงสงสัยว่ามันหอบของมากมายขนาดนี้ขึ้นมาทำไมทั้งที่ไม่มีรถ) ไปกัน 10 คน มีเต็นท์ไป 5 หลัง ไม่รู้เอาไปทำไมกันเยอะแยะ ต่างคนต่างเอามาเผื่อกันเพราะคิดว่าคนนั้นไม่มีคนนี้ไม่มี สรุปว่ามีเยอะเกินความจำเป็น แต่ไหนๆ ก็แบกมาแล้ว ก็เลยกางซะทั้งหมดนั้นแหละ นอนกันเต็นท์ละคนบ้าง 2 คนบ้าง 3 คนบ้าง ตามแต่สะดวก พอจัดสรรที่นอนกันเรียบร้อยก็ได้เวลาจัดเตรียมอาหารเย็นกัน เมนูเด็ดสารพัดไข่ที่คิดกันมาเกือบล้ม เพราะสุดท้ายแล้วเรามัวแต่ตกลงกันว่าจะซื้อไข่ครึ่งแผง 15 ฟอง หรือทั้งแผง 30 ฟองดี พอสุรปกันเองได้ว่าจะซื้อยกแผง เราดันลืมบอกให้แม่ค้าเค้าหยิบให้ เราก็เลยไม่ได้ไข่มาซักฟอง แต่เจ้าหน้าที่อุทยานฯ ที่ประจำอยู่ที่นี่ก็ใจดี แบ่งไข่ขายให้พวกเรา เลยได้ไข่มา 15 ฟอง

จัดเรียงวัตถุดิบและอุปกรณ์พร้อมสรรพอยู่หน้าแม่ครัวจำเป็น แล้วก็พบว่าเรามีอาหารหลายอย่างทีเดียว แต่มันควรจะมีข้าวสวยด้วยนะ ความอยากเริ่มยกทัพกันมา แต่เราไม่ได้เตรียมข้าวมาน่ะ แล้วก็ไม่พ้นพี่ๆ เจ้าหน้าที่อุทยานฯ อีกนั่นแหละ ที่เราไปขอซื้อข้าวสารเพื่อความสมบูรณ์ของอาหารมื้อนี้ พี่แกก็ใจดีขายข้าวให้แถมให้ยืมหม้อมาหุงข้าวด้วย เราก็เลยถือโอกาสยืมจานชามด้วยซะเลย พี่แกคงคิดในใจว่าไอ้กลุ่มนี้วุ่นวายกับตูจริงเลย ทุกอย่างพร้อมแล้ว แต่ใครหุงข้าวแบบหม้อธรรมดาเป็นบ้างหว่า

ในที่สุดเราก็มีหน่วยกล้าตายอาสาหุงข้าวให้กิน(แบบไม่รับประกันความปลอดภัย) ถึงจะไม่สมบูรณ์ 100% แต่ก็ออกมาได้ถึง 90-95% นะ โอเคกินได้แบบสบายใจ ข้าวสวย ไข่เจียว ไก่ย่าง ปลากระป๋อง 2 ชนิด หอยกระป๋อง ผักกระป๋อง และมาม่าต้มมาซดน้ำ อาหารธรรมดาๆ ที่ไม่ธรรมดา(ตรงที่มันหอบอะไรกันมานักหนาหว่า) นี่ยังไม่รวมของหวานนะ เราแบกส้มโอขึ้นมา 3 ลูก(แบบที่ปลอกเปลือกข้างนอกออกแล้วชั้นหนึ่งนะ) ระหว่างที่จัดการกับส้มโอกัน แม่ครัวก็ทำถั่วเขียวต้มน้ำตาลไปด้วย ถึงเราจะไม่มีรถมา แต่ว่าเราอิ่มหนำสำราญอย่างแรงนะคะ กินข้าวใต้แสงเทียน อากาศเย็นๆ ดาวเต็มฟ้า ไม่ได้เห็นดาวเยอะๆ อย่างนี้มานานแล้ว อาหารมื้อนี้วิเศษจริงๆ เลย

หลังจากล้อมวงสนทนากันอยู่พักใหญ่ และจัดการกับอาหารคาวหวานกันจนเต็มพุง(แบบชนิดที่ว่ายัดเข้าไปไม่ได้อีกแล้วน่ะ) เราก็เคลียร์พื้นที่และเก็บอุปกรณ์ไปล้างแล้วคืนเจ้าหน้าที่ให้เรียบร้อย แล้วก็ได้เวลาแยกย้ายกันไปนอนเอาแรง เพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นมาเก็บหมอกกันแต่เช้ามืด ว่าแล้วก็ชักแถวกันไปเข้าห้องน้ำ ซึ่งอยู่ห่างไปประมาณ 100 เมตร แต่ทางมืดสนิท ส่องไฟไปถึงห้องน้ำ แล้วก็จุดเทียนตั้งไว้ในห้องน้ำเลย พอถึงคนสุดท้ายเข้าก็ดับเทียนซะเลย เดินกลับมาถึงหมู่บ้านเต็นท์ของเรา ก็เต็นท์ใครเต็นท์มัน เข้านอนได้ ฝันดี ราตรีสวัสดิ์ทุกคน จะโดนฝนตอนกลางดึกหรือเปล่าก็ต้องมาลุ้นกัน

 

 

 อรุณสวัสดิ์เช้าวันอาทิตย์

            เมื่อคืนฝนไม่ต้อง แต่ลมกันโชกแรงเป็นครั้งคราว เล่นเอาเต็นท์สั่นอยู่หลายที แถมมีเสียงเฮอย่างดังเป็นช่วงๆ จากกลุ่มข้างๆ ที่ไม่รู้จักเกรงใจใครเลย ทั้งที่ดึกดื่นแล้วก็ยังคงใช้เสียงกันอย่างไร้มารยาท ทำให้เราตื่นกันเป็นระยะๆ แล้วก็คิดในใจว่าเจ้าหน้าที่น่าจะมาเตือนมันซะทีนะ แต่พอดึกมากเข้าเสียงก็เริ่มหายไป ได้นอนหลับซะที

ตี 5 ตามเวลานัดหมาย โผล่หน้าออกมาจากเต็นท์ ยังมืดอยู่เลยอ่ะ สมาชิกทุกเต็นท์ยังนอนกันเงียบ งั้นซักตีห้าครึ่งแล้วกันจะปลุก พอตีห้าเกือบครึ่งก็เริ่มมีความเคลื่อนไหว บางคนเริ่มตื่นแล้ว ก็เลยปลุกคนที่เหลือให้ตื่นกันหมด ไปล้างหน้าแปรงฟันกัน พอแสงเริ่มมา หมอกก็เริ่มปกคลุมพื้นที่ ได้เวลาพวกเราออกปฏิบัติงาน เก็บหมอกกับดอกกระเจียวกัน

ชักแถวมุ่งหน้าสู่ทุ่งดอกกระเจียว 1 หมอกหนาๆ ดอกกระเจียวสวยๆ แถมยังไม่มีใครมาด้วย ทุ่งนี้เป็นของพวกเรา เต็มที่เลยพี่น้อง

ส่องกันแล้วส่องกันอีกมองหาดอกที่สวยสมบูรณ์เอามาเก็บไว้ในกล้องกัน(คงถ่ายซ้ำดอกเดียวกันไปบ้างแหละ) พอแสงแรงขึ้นหมอกก็เริ่มจาง เจ็ดโมงกว่าๆ พอหมอกหายไป แสงก็จ้าทันที พระอาทิตย์ท่านขึ้นมาสูงเด่นอยู่บนฟ้าแล้วน่ะ เก็บหมอกกับดอกไม้ใส่กล้องกันเต็มอิ่มแล้ว กลับไปเติมพลังใส่ท้องกันดีกว่า ได้เวลาหิวพอดีเลย

อาหารเช้าของพวกเราก็ง่ายๆ โจ๊กคัฟ มาม่า ปลากระป๋อง กาแฟ ขนมปัง และอื่นๆ ที่เหลืออยู่ตั้งแต่เมื่อคืน พยายามเก็บกินกันให้หมด จะได้ไม่ต้องแบกกลับไปด้วย พอท้องอิ่มแล้วเราก็เตรียมเก็บสัมภาระเพื่อออกเดินทางกัน ยังต้องไปเดินเที่ยวชมทุ่งดอกกระเจียวอีกหลายทุ่ง ถึงจะมีหลายคนแอบเจ็บใจที่เราไม่ได้เอารถขึ้นมา แต่ก็คิดซะว่าเรามาเที่ยวแบบลุยๆ เก็บบรรยากาศธรรมชาติแบบเต็มๆ น่ะ อย่ารักสบายนักเลย ถ้าไปที่ลำบากกว่านี้พวกติดสบายก็คงไม่โผล่หน้าไปให้เห็นหรอก(แอบปลอบใจตัวเองและเพื่อนร่วมทาง)

 

       

 

 สัมภาระเข้าที่พร้อม พวกเราก็ออกเดินทางกันแบบไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก แวะถ่ายรูปดอกไม้ทุ่งนั้นบ้างทุ่งนี้บ้างไปตามทาง จากทุ่ง 1 ไปทุ่ง 2 แล้วก็ไปทุ่ง 4 ซึ่งเป็นดอกกระเจียวสีขาว แต่ดอกมันเล็กและเตี้ยติดดินจัง โดนใบหญ้าบังซะแทบไม่เห็นความสวย แล้วก็ขึ้นไม่หนาแน่นด้วย เลยดูไม่งามเท่าไหร่ พวกเราไม่ได้เดินไปทางทุ่ง 3 เพราะเมื่อวานมีสมาชิกออกนอกเส้นทางไปดูมาแล้ว บอกว่าไม่น่าสนใจ สรุปว่าทุ่ง 1 กับทุ่ง 2 เนี่ยแหละสวยสุด ถ่ายดอกไม้มั้ง ถ่ายสมาชิกชาวแก๊งค์บ้าง พอออกจากดงดอกกระเจียวมาแล้ว เราก็มาแวะถ่ายรูปกันอีกทีที่จุดสุดท้าย ผาหำหด ชื่อไม่ค่อยเข้าหูหนุ่มๆ เท่าไหร่ แต่ความสูงและความเสียวเมื่อมองลงไปด้านล่างก็อธิบายที่มาของชื่อผานี้ได้อย่างชัดเจนนะ

 

 

จากผาหำหดเราก็เดินออกมาถึงที่ลานจอดรถผาพ่อเมือง นั่งพักหอบ กินน้ำหวานๆ กันอยู่พักหนึ่ง แล้วก็เรียกรถมารับกลับลงไปที่ทำการอุทยานฯ ด้านล่าง ปีนขึ้นท้ายกระบะนั่งกินลมชมวิวกันไปอีก 9 กิโล ลงไปถึงที่ทำการฯ ก็เตรียมอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ แล้วไปเที่ยวกันต่อที่อุทยานฯ ป่าหินงาม

สมาชิกหนึ่งในสองที่ตามมาสมทบของแยกตัวไปก่อน เพราะต้องขับรถไปขอนแก่น แถมขาก็บาดเจ็บตั้งแต่เมื่อวาน กลัวจะไปถึงขอนแก่นมืด แต่รายนี้ไปนอนที่ป่าหินงามมาแล้วคืนหนึ่ง สรุปว่าได้เที่ยวครบทุกที่เหมือนกับทุกคนแหละ

ก่อนเข้าไปถึงอุทยานฯ ป่าหินงาม พวกเราแวะกินข้าวกลางวันกันที่ร้านแถวหน้าอุทยานฯ มีต้นกระเจียวออกดอกบานสะพรั่งขายอยู่เต็มไปหมด แล้วก็มีผลิตภัณฑ์ต่างๆ อีกมากมายมารองรับนักท่องเที่ยว ที่ป่าหินงามดูเป็นเทศกาลใหญ่ ผู้คนมากมาย ของขายก็เยอะ และวุ่นวายกว่าที่ไทรทองมาก ดีแล้วที่พวกเราเลือกพักที่ไทรทอง เพิ่งมั่นใจก็ตอนมาถึงที่นี่แหละ

จอดรถตู้เรียบร้อย ระหว่างรอสมาชิกจากรถอีกคัน ฝนก็ตกลงมาสกัดดาวรุ่ง แต่พวกเราก็ยังยืนยันที่จะไปต่อนะ ก็เลยไปซื้อตั๋วรถสองแถวที่จะพาเข้าไปเที่ยวด้านในอุทยานฯ แล้วก็โดดขึ้นรถเลย ฝนตกไปตลอดทางจนถึงจุดจอดจุดแรกที่ สุดแผ่นดิน แต่ดูจากฟ้าที่กำลังจะเปิด แปลว่าเดี๋ยวฝนก็จะหยุด พวกเราก็เลยลุยต่อ ไปยืนชมวิวสุดแผ่นดินอีสาน-กลาง ซึ่งเป็นพรมแดนธรรมชาติที่แบ่งระหว่างภาคอีสานกับภาคกลางได้แป๊ปเดียวฝนก็หยุด ฟ้าโปร่งแล้ว แสงก็เริ่มมา ไปเดินชมทุ่งดอกกระเจียวกันต่อเลยดีกว่า

 

 

เดินลัดเข้าป่า เลาะขอบผาไปพักหนึ่งก็ถึงบริเวณทุ่งดอกกระเจียวของอุทยานฯ ป่าหินงาม ที่ทำทางเดินยกระดับไว้ให้นักท่องเที่ยวได้เดินชมความสวยงามและเก็บภาพความประทับใจกับทุ่งดอกกระเจียวกันได้อย่างสะดวกสบาย ก็ดูสวยไปคนละแบบกับทุ่งดอกกระเจียวที่อุทยานฯ ไทรทอง ที่นี่ดูมีดอกกระเจียวขึ้นหนาตากว่า แต่ได้ยินมาว่านอกจากที่ขึ้นตามธรรมชาติแล้ว ก็มีการปลูกเพิ่มด้วย ก็เลยดูเยอะ แต่ทางเดินที่ยกระดับที่ดูสวยดี มันทำให้เราดูห่างเหินกับดอกกระเจียวไปหน่อย แถมตอนเดินก็ต้องคอยระวังต้องดูทางมากกว่าดูดอกไม้ เพราะพื้นบนทางเดินไม่ได้เรียบเสมอเป็นพื้นผิวเดียวกัน แผ่นปูทางบางแผ่นมันยับๆ ยุบๆ เดินแล้วกลัวมันจะหักลงไปข้างล่าง น้องชายเราเผลอแป๊ปเดียว โดนเข้าไปหนึ่งแผล กลายเป็นว่าแทนที่จะได้ดูดอกไม้แบบสบายใจ กลับต้องมาคอยระแวงกับการเดินบนพื้นยกระดับนี่แหละ สำหรับพวกเราแล้ว เราชอบที่อุทยานฯ ไทรทองมากกว่า เพราะมีทุ่งดอกกระเจียวหลายทุ่งอยู่ห่างๆ กันหน่อย ได้เดินดูเดินเที่ยวใกล้ชิดกับธรรมชาติและดอกกระเจียวมากกว่า ทางเดินก็เป็นพื้นหินตามธรรมชาติ เราได้เดินอยู่บนพื้นเดียวกันกับดอกกระเจียว นั่งลงไปก็เอากล้องส่องดอกกระเจียวได้แบบใกล้ๆ เห็นมั้ยว่าพวกเราคิดถูกจริงๆ ที่เลือกอุทยานฯ ไทรทอง

ออกจากบริเวณทุ่งดอกกระเจียว พวกเราขึ้นรถสองแถวที่จุดจอดที่ 2 ไปลงที่จุดที่ 3 เพื่อดูหินงาม ซึ่งหินที่เป็นเป้าหมายของเราก็คือหินรูปเรด้าที่เป็นสัญลักษณ์ของอุทยานฯ ป่าหินงามนี่แหละ พอบรรลุวัตถุประสงค์เรียบร้อย เก็บหินเรด้าใส่กล้องกันเสร็จก็เย็นแล้วนะ ได้เวลาต้องเดินทางกลับบ้านกันแล้ว เดินมารอรถอยู่พักหนึ่งก็ไม่มีสองแถวมารับสักคัน พอดีมีรถกระบะของครอบครัวหนึ่งที่เข้ามาดูหินงาม กำลังจะกลับออกไป เราก็เลยขออาศัยติดรถมาลงที่ทำการอุทยานฯ ด้วย 9 ชีวิตของพวกเรา ทำเอารถพี่เค้าหนักเกือบแย่ ถ้าล้อรถมันบ่นได้มันคงว่าไม่น่ารับไอ้พวกนี้มาเลย

 

ลงมาถึงที่ทำการฯ เราก็เตรียมตัวกลับเข้ากรุงเทพฯกัน ส่วนสมาชิกอีกหนึ่งก็แยกกลับขอนแก่น ขากลับเจอฝนมาตลอดทางจนถึงกรุงเทพฯ แต่ก็ถึงโดยสวัสดิภาพนะ เป็นอันว่าปิดทริป อย่างบริบูรณ์

การเดินทางออกจากกรุงไปเที่ยวทุ่งดอกกระเจียวในครั้งนี้ ได้ความรู้สึกดีๆ กับมิตรภาพที่งดงามเช่นเดิม ได้สัมผัสกับวิถีที่ใกล้ชิดธรรมชาติอีกครั้ง ได้กางเต็นท์นอนอยู่ใต้ฟ้าห่มดาว เดินเที่ยวท่ามกลางสายหมอก มีดอกกระเจียวชูช่อสดใสทักทายกันในวันพักผ่อนที่แสนสุข นี่เป็นอีก ทริปรอนแรมที่ประทับใจ แล้วเราจะกลับมาใหม่เมื่อมีโอกาส จะคิดถึงเสมอนะ...ทุ่งดอกกระเจียว

 

 

 

 

ใครสนใจจะไปตามรอยกับเรา ติดต่อได้ที่นี่ "วันแรมทาง"

 

 

 แสดงความคิดเห็น
ติชมบทความ คลิ้กที่นี่ค่ะ

 

 




บันทึกแรมทาง

ครั้งหนึ่ง ณ หุบเขาสปิติ
พุทธคยาเย็นใจ 10-14 ตุลาคม 2567
คำแนะนำเรื่อง อาการแพ้ความสูง (AMS)
พาไปนวดที่ Kelara article
Boarding Pass



ทัวร์อินเดียคุพภาพเยี่ยม
ใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยว เลขที่ 11/06037
กดติดตาม facebook วันแรมทาง อัพเดททัวร์แอนด์ทราเวล
ติดต่อเรา วันแรมทาง อัพเดททัวร์แอนด์ทราเวล
dot
โหลดเอกสารที่ต้องจัดส่ง เพื่อขอวีซ่า สำหรับผู้จองทัวร์
dot
dot
ดาวโหลด เอกสารที่ต้องจัดส่งเพื่อขอวีซ่า กรณีจ้างทำวีซ่า
dot
โปรแกรมเดินทาง ทัวร์อินเดีย วันแรมทาง อัพเดททัวร์แอนด์ทราเวล
วิธีการจองทัวร์ วันแรมทาง อัพเดทร์ทัวร์แอนด์ทราเวล
dot
ตรวจสอบสถานะการจองทัวร์ วันแรมทาง อัพเดททัวร์แอนด์ทราเวล
dot
dot
วันแรมทาง บริการคุณภาพ โดยผู้เชี่ยวชาญ
dot
รับทำวีซ่าอินเดีย อัพเดททัวร์แอนด์ทราเวล (วันแรมทาง)
รับทำวีซ่าเนปาล อัพเดททัวร์แอนด์ทราเวล (วันแรมทาง)
รับจอง ตั๋วรถไฟอินเดีย อัพเดททัวร์แอนด์ทราเวล (วันแรมทาง)
รับจอง ตั๋วรถบัสอินเดีย อัพเดททัวร์แอนด์ทราเวล (วันแรมทาง)
คำแนะนำเรื่อง อาการแพ้ความสูง Altitude Sickness อาการเวลาอยู่บนพื้นที่สูง Acute Mountain Sickness (AMS)
ลิงค์เว็บไซต์ พยากรณ์อากาศ ที่เชื่อถือได้




Copyright © 2007-2037 สงวนลิขสิทธิ์ภาพและบทความที่จัดทำขึ้นโดยเว็บไซต์ ห้ามลอกโดยเด็ดขาด
ติดต่อเรา
บริษัท อัพเดททัวร์แอนด์ทราเวล จำกัด
เลขที่ 1/60 ซอยอนามัยงามเจริญ 12 แขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน กรุงเทพ 10150
โทรศัพท์ : 024054561 , 0816928233 (dtac) , 0898119139 (ais)
Email : wanramtang@hotmail.com
Line ID: @wanramtang